วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

โศกาพักตร์

โศกาพักตร์

โดย อินทร์คำ อินทร์ทัศน์
แนว ผจญภัย

1

ณ วังเก่าแห่งหนึ่ง
มีปราสาทหลังหนึ่ง แอบซ่อนอยู่ในป่ารกชัฏ
ณ ปราสาทแห่งนั้น มีสิ่งเร้นลับที่ซ่อนเรื่องราวของใครคนหนึ่งที่กำลังรอคอยการกลับมาของชายคนรัก

ณ บ้านนักโบราณคดีคนหนึ่ง
เขามีชื่อว่า อติภพ กำลังนอนหลับอยู่ในห้องพักของเขา เขาหลับด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางบุกป่าฝ่าดง เพื่อเข้าไปสำรวจแหล่งโบราณคดีแห่งใหม่
และฝันไปว่า กำลังฟาดฟันอยู่กับอริราชศัตรูอย่างเมามัน จนลืมมองด้านหลัง เขาจึงโดนดาบของศัตรูฟันเข้าที่ด้านหลัง แต่โชคยังดีที่เพื่อนรักของเขาเข้ามารับดาบไว้ได้ทัน
สุดท้าย ฝ่ายพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ และทำให้ศัตรูหนีพ่าย แต่ได้หารู้ไม่ว่า มีกองกำลังดักสุ่มโจมตีอยู่ที่ใกล้กับประตูเมือง ขณะที่เขาจะเดินเข้าสู่เมือง ก็มีคนที่ดักซุ่มระดมยิงธนู เข้ามาที่พวกของเขา จนเขาโดนยิงด้วยธนู แต่เขาก็สามารถหลบหนีเข้าสู่เมืองได้อย่างปลอดภัย

ณ ประตูวังหลวง
องค์หญิงพักตร์พิลัย ออกมารับขุนพิทักษ์พลด้วยพระองค์เอง พร้อมกับสั่งให้หมอหลวงรีบทำแผลให้กับผู้ที่บาดเจ็บ รวมถึงท่านขุนพลเป็นอย่างดี
ขณะที่หมอหลวงกำลังผ่าหัวธนูออกจากร่างกายของท่านขุนพล

ทันใด นั้นเอง
อติภพก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อท่วมกาย
เขารีบคลำหาบาดแผล เพราะยังรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก
ปรากฏว่า แผลที่เขารู้สึกเจ็บอยู่ในขณะนี้ เป็นแผลเป็นที่เกิดจากเหตุการณ์อุบัติเหตุเมื่อเขายังเป็นเด็ก

เย็นวันหนึ่ง ในห้องทำงานของ อติภพ
อติภพ มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เขามองดูฝนที่กำลังตกอย่างหนัก เขากำลังคิดใคร่ครวญถึงฝันที่เกิดขึ้น
เขาคิดกับตัวเองว่า ทำไมรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์นั้น
เขารู้สึกผูกพันกับหญิงสาวในฝันนั้นเหลือเกิน


ณ วังร้าง
หญิงสาว (องค์หญิงพักตร์พิลัย) นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
เธอมีความสุขที่ได้นึกถึงขุนพิทักษ์พล (ปัจจุบัน คือ อติภพ) ยามที่เธอและเขาได้อยู่เคียงข้างกัน แม้วันเวลาที่ผันผ่านจะเนิ่นนาน ซักเพียงใด แต่เธอก็ยังรักเขามิเสื่อมคลาย ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่ห่างไกลกัน เหมือนกับอยู่คนละภพ
ความรักนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ ทำให้จิตวิญญาณที่ถูกกักขัง ยังพอจะมีความหวัง
บ้าน อติภพ

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
อติภพรับสาย แล้วจึงรีบร้อนแต่งตัวเพื่อไปพบกับหัวหน้า และรับทราบหน้าที่นำทางกองสำรวจป่าทึบแห่งหนึ่งที่ ชาวบ้าน เคยขุดเจอของใช้สมัยโบราณ ใกล้เทือกเขาดงพญาไฟ
โดยคณะสำรวจ มีกลุ่มนายทุน ที่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณแทบนั้นเป็นอย่างดี เดินทางติดตามไปสำรวจด้วย เขาชื่อ นายสุชาติ มีเกียรติ
ประวัติของนายทุนผู้นี้ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก


ยามเย็น 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง

อติภพก็ฝันประหลาดอีกแล้วว่า เขาแต่งกายด้วยชุดนักรบสีทองอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้กับหญิงสาวนางหนึ่ง เธออยู่ในชุดโบราณของชนชั้นสูง เธอสวมมงกุฎประดับไปด้วยเพชรพลอยสวยงาม
เขาและเธอทั้งสอง กำลังสบตากัน ด้วยความอาลัยอาวรณ์สนิทเสน่หา
เขากล่าวกับนางว่า “ข้าพระองค์ แต่องค์หญิงพักตร์พิลัย หม่อนฉันจักต้องห่างจากพระองค์สักช่วงเพลาหนึ่ง เพื่อที่จะไปปฏิบัติซึ่งพระราชประสงค์แห่งองค์จักรพรรดิราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงรักษาพระวรกายด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
องค์หญิงทรงกล่าวอวยพรแด่ท่านขุนพลว่า”เราขออวยพรให้ท่านจงมีชัยเหนืออริราช ศัตรู ภัยใด ๆ จงอย่ามาก้ำกลายท่าน ผู้อันเป็นที่รักยิ่งแห่งเรา”
ก่อนจากกัน องค์หญิงพักตร์พิลัยทรงมอบแหวนทรงดอกพิกุลที่พระราชมารดา ทรงมอบแด่พระองค์ในวันพระราชสมภพ ขณะทรงพระชนมายุได้ 15 ชันษา
แหวนวงนี้ อาจจักนำพาอติภพไปสู่การผจญภัยในอีกมิติหนึ่งอันเร้นลับก็เป็นได้

2

ณ ห้างสรรพสินค้า
รุ่งเช้า อติภพ ต้องไปซื้อของใช้ที่จำเป็น เพื่อใช้สำหรับการเดินทางครั้งใหม่ ณ ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
ขณะที่ เขากำลังเลือกซื้ออาหารแห้ง เขาเอื้อมมือไปหยิบกาแฟชงสำหรับรูป พลันกับมีมือของผู้หญิงคนหนึ่งมาหยิบกาแฟห่อนั้นเหมือนกับเขา
เธอมีชื่อว่า กมลเนตร หรือ เนตรวลัย ในอดีต
เมื่อมือของเขาและเธอมาชนกัน ภาพเหตุการณ์ในอดีต ก็แล่นเข้ามาในหัวของคนทั้งสอง อย่างพลั่งพลู และเป็นฉากเป็นตอน

ฉาก วังหลวง ตำหนักใน ของ พระสนมเอก
ภาพฉายให้เห็นอดีตของ กมลเนตร ซึ่งในอดีต
เธอคือ พระราชธิดา ของพระสนมเอก พระองค์หนึ่ง ในท้าวแสนคำลือวงศ์ศิวะพักตร์ พระธิดาเนตรวลัย ทรงเป็นพระเชษฐภคินีเธอ (พี่สาว) ขององค์หญิงพักตร์พิลัย พระองค์ทรงไม่ค่อยพอพระทัย พระน้องนางเพราะ ไม่มีสิทธิ์ในบางสิ่ง จึงรู้สึกด้อยพระองค์กว่า ทุกชั่วขณะของความคิด แม้แต่ยามจะสิ้นพระชนม์ชีพ
ทำให้พระธิดา เนตรวลัย มีนิสัยอิจฉาริษยา และนิยมชมชอบในเรื่อง คุณไสยและมนตรามหาเสน่ห์
พระมารดาคือ พระสนมเอก ทรงพระนามว่า กัญญาณีศรีวลัย
พระนางมีคุณท้าวคนสนิท ชื่อว่า คุณท้าว ชดช้อยโสภา
โดยคุณท้าว นางนี้เก่งกาจทางด้านวิชาอาคมทางอวิชชา เป็นอันมาก และจะมีความเกียวข้องกับการล่มลสลาย แห่งมหานครอันเลื่องชื่อลืมนามที่ว่า มหานครศิวะพักตรา มีเมืองหลวงว่า ศิวะโลกาปุระ

ชายหนุ่มและหญิง รีบเอามือออกจากกัน
ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าท่าทางแปลกประหลาดใจเป็นอันมาก ในใจทั้งสองคนคิดว่า สิ่งที่ผ่านเข้ามาในหัวสมองนั้นคือ เรื่องจริง หรือแค่ฝันไป
เมื่อตั้งสติได้ ต่างกล่าวคำขอโทษแก่กัน และต่างคนต่างรีบเดินหนีออกจาก ที่แห่งนั้น แต่ไม่เลย ในใจกลับคิดถึงแต่ความทรงจำที่แล่นเข้ามาเพียงชั่วเสี้ยววินาที แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย และเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เหมือนกับเรื่องราวต่าง ๆนั้นย้อนกลับมาฉายซ้ำให้ดูอีกรอบหนึ่ง


3

วันเดินทางมาถึงไปสู่อดีตมหานครอันเรืองนาม ศิวะพักตรา

เมื่อทุกคนมาพร้อมกันที่ กองประวัติศาสตร์ กรมโบราณคดี อติภพถูกได้รับการแนะนำตัวต่อผู้ร่วมติดตามในการผจญภัยครั้งใหม่นี้ รวมถึง นายทุนผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ และลายแทงตำแหน่งที่แน่ชัดแก่อติภพ และคณะสำรวจฯ
เขาแท้ที่จริงก็คือ พี่ชายของ กมลเนตร ที่อติภพ เจอหล่อนในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อน เขาชื่อว่า กมลเดช นามสกุล ชดช้อยโสภา
ชดช้อยโสภา ชื่อนี้ช่างน่าคุ้นเคยเป็นอันมากในความคิดของอติภพ แต่เหตุการณ์ก็ยังลางเลือนและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูกต้องครบถ้วน

ช่างน่าบังเอิญ หรือโชคชะตากลั่นแกล้งให้บุคคลเหล่านี้กลับคืนสู่มหานครอันเกรียงไกร อันมีนามว่า มหานครศิวะพักตรา

ความจริงแล้ว ไม่น่าแปลกที่นายกมลเดช เพราะสืบเชื้อสายมาจากคุณท้าวชดช้อยโสภา แม่มดหมอผีคู่กายของอดีตพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย จึงย่อมจะมีสิทธิ์ในลายแทงมหานครแห่งขุมทรัพย์ ศิวะพักตรา เป็นธรรมดา
แค่นั้นไม่พอ เขายังเคยเดินทางไปที่นั่นมาแล้ว เมื่อยามยังเป็นเด็กมาก จึงไม่สามารถจดจำเรื่องราวอันใดหรือ เส้นทางไปสู่มหานครแห่งนี้ได้เท่าใดนัก จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประการณ์ในการเดินสำรวจแหล่งวัตถุโบราณมาอย่างโชกโชน อย่างอติภพ และคณะสำรวจฯ ของเขา





4

ครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว

อติภพ เคยเดินทางไปสำรวจแหล่งโบราณคดีที่เกือบจะเข้าสู่มหานคร ศิวะพักตรา แต่เขาและคณะสำรวจกลับไม่พบรองรอยแห่งประวัติศาสตร์ของมหานคร ที่เคยมีชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ ในอดีต ณ ดินแดนแถบที่เขาเข้าไปสำรวจ
เขาได้พบกับ พรานที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับคติความเชื่อ และความเป็นมาของมหานครศิวะพักตรา และขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ยึดหลักปฏิบัติเดียวกันกับครั้งยังเรืองนาม อาทิเช่น การแสดงในงานบวงสรวงเจ้าบ้านเจ้าเมือง แต่ก็อาจจะลดระดับลงมาเหลือแค่การบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา เพราะความเป็นเมืองนั้นหายไปไหนไม่มีใครทราบ
กลับเหลือเพียงชนเผ่าที่เคยอยู่ภายใต้อาณัติการปกครองของมหานคร ศิวะพักตรา อย่าง ชนเผ่าซากิ ที่ยังคงเครื่องแต่งกายของชนชั้นขุนนางในราชวงศ์ศิวะพักตรา ยุคสุดท้าย ไว้ให้กับผู้ปกครองเผ่าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ในงานพิธีการสำคัญๆ เช่น งานขึ้นปีใหม่ งานทำบุญให้กับเจ้าป่าเจ้าเขา
หรือเผ่า มูซาซาร์ ที่เมืองศูนย์กลางการปกครองของชนเผ่า มีฐานะเป็นชนเผ่าประเทศราช ของมหานครแห่งนี้ ก็ยังคงเก็บรักษา เครื่องประดับที่มีลักษณะใกล้เคียง หรืออาจจะเหมือนกับ เครื่องประดับแห่งองค์ราชินี องค์สุดท้ายเคยใช้ แต่ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้ใช้อีกเลย เพียงแต่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประจำชนเผ่า มูซาซาร์ เท่านั้น
ผู้เฒ่าประจำเผ่ามูซาซาร์ มีนามว่า เชตวัฒน์ สืบเชื้อสายมาจากปุโรหิตแห่งมหานครอันเรืองนามที่มีชื่อว่า ศิวะพักตรา นามว่า ท่านปุโรหิตเชตวุทธ ซึ่งมีความชำนาญทางด้านโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์เป็นอันมาก และท่านเป็นผู้เก็บรักษาตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา แห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ ราชวงศ์สุดท้ายก่อนล่มสลาย หายสาบสูญไปจากแผ่นดินเดิม
อาณาจักรศิวะพักตรา ยุคสุดท้ายถูกปกครองโดยมหาราชินี พระนามว่า พระนางหน่อเจ้า สุชาวดีศรีศิวะพักตร์ รายละเอียดต่าง ๆ ได้รับการเล่าต่อและสืบทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนมาถึงท่านผู้เฒ่า เชตวัฒน์
ผู้เฒ่าประจำเผ่ามูซาซาร์ ได้ให้ข้อมูลแก่อติภพอย่างละเอียด และด้วยความเอ็นดู ท่านผู้เฒ่าได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่เขา แต่เขากลับรู้สึกว่า เหมือนมันเคยเป็นของเขา หรือของใครสักคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออก
อติภพ เพิ่งจะมาสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า ตั้งแต่เขาได้รับมอบแหวนโบราณวงนี้มาไว้กับตัว เขาก็ใส่มันตลอดเวลาราวกับว่าจะขาดมันไม่ได้เสียแม้แต่วินาทีเดียว เขาฝันติดต่อกันเป็นเรื่องราวจนเหมือนกับหลุดเข้าไปในดินแดนโบราณที่มีฉากหลังอันสวยงาม แต่ก็มีความน่าสะพรึงกลัวแอบแฝงไว้ในนั้น


5

ณ หมู่บ้านซากิ หมู่บ้านที่ใกล้ชานเมืองมากที่สุด
คณะเดินทางวางแผนว่าจะเตรียมความพร้อมที่ปากทางเข้าป่า ซึ่งทุกคนได้รับการฝึกฝนการใช้ชีวิตในป่ามาเป็นอย่างดี แต่ก็อาจมีบางเหตุการณ์ณืที่ไม่คาดฝันบังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น อติภพ
ในฐานะหัวหน้าคณะสำรวจฯ จึงซักซ้อมความพร้อมเพรียงอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้ผู้หญิงเดินทางไปเลยแม้แต่คนเดียว เพราะการเดินทางครั้งอาจจะเรียกว่า เดิมพันด้วยชีวิต มีบางจุดที่เขาและคณะสำรวจยังเดินทางไปไม่ถึง
อาจจะเพราะขาดความรู้เกี่ยวกับเส้นทางที่แท้จริงของมหานครศิวะพักตรา และความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการหายไปของมหานครอันยิ่งใหญ่ที่กินอาณาบริเวณหลายล้านตารางกิโลเมตร แต่กลับไม่เหลือร่องรอยทางโบราณคดีแลยแม้แต่น้อย
การมาครั้งนี้ หากไม่ได้รับการไหว้วานจากหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ กรมโบราณคดี เขาจักไม่มีวันมาเลย แต่ในใจก็อยากลองพิสูจน์ให้เห็นดูสักครั้งหนึ่งว่า ชีวิตนี้จะสามารถค้นพบ สิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้หรือไม่ แม้แต่นครอันเกรียงไกรที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยดุจเดียวกับ มหานครศิวะพักตรา


6


ณ ค่ำคืนนั้นเอง ที่ใจเริ่มสื่อถึงใจ แต่ในแง่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าใดนัก
อยู่ ๆ แหวนของอติภพก็เรืองแสง แต่เขากลับหลับอยู่ภายใต้ภวังค์แห่งความมืดมิด ยามราตรีกาล ที่ท้องฟ้าก็ช่างเป็นใจให้การพักผ่อนช่างแสนมีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
เขาลืมตาตื่นพร้อมกับ ความสะลึมสะลือ แต่หาได้ตื่นจากนิทราไม่
เขากำลังหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางความฝันที่ก่อเค้าลางความหายนะแห่งชีวิตของผู้คนที่โชคชะตานำพาให้มาเกี่ยวข้องกันไม่จะชาติก่อน หรือชาตินี้ ไม่มีอะไรต่าง แต่ไม่เหมือนแค่สถานะทางสังคมที่เป็นก็แค่นั้น อย่างอื่นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เพียงรอการกลับมาของผู้คนที่เคยเกี่ยวพัน ทางสายเลือด และทางสังคมการเมือง การปกครอง ภายใต้มหานครอันเรืองนามว่า ศิวะพักตรา


3 เดือนก่อน องค์หญิงพักตร์พิลัย ขึ้นครองราชย์

ณ ห้องนั่งเล่น ของคุณท้าวชดช้อยโสภา ผู้มีเบื้องหลังเป็นนางแม่มดหมอผี
หล่อนนั่งอยู่บนอาสนะหนังหมี ด้านข้างของนางคือ พระธิดา เนตรวลัย และพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย
ทั้งสาม กำลังประกอบพิธีกรรม เพื่อจุดประสงค์อันใดกันหนอ


ณ สวนดอกไม้

ยามค่ำคืน นางต้นห้องของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย มาทำการอันใด ณ ที่แห่งนี้ ท่าทางก็ช่างดูลับ ๆ ล่อ ๆ
เธอกำลังจะลอบหนีออกจากวังหลวง ทางด้านทวารบานหลังวัง
เธอจักออกไป เพื่อทำการสิ่งใดกันหนอ

แท้ที่จริง
นางต้นห้องของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย ลักลอบออกจากพระตำหนักฝ่ายใน เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ที่นางได้รับมอบหมายมาจากพระสนมเอก พระนางทรงดำริการมิบังควร คือ การลักลอบทำเสน่ห์ยาแฝก
แต่พระนางทรงทำการนี้เพื่อใคร และเพราะเหตุผลกลใด

ความจริงนั้นไซร้
คือ พระธิดาเนตรวลัย ทรงมีใจให้กับ ขุนพิทักษ์พล มาเป็นเพลาช้านานแล้ว
แต่ด้วยความต่างในฐานันดร ที่หญิงสูงศักดิ์ จักลดองค์ลงมาเกลือกกลั้วกับ ชายที่ต่ำศักดิ์กว่านั้น มิควรเกิดขึ้น
แต่หาก พระน้องนาง อย่างพระธิดาพักตร์พิลัย กลับทรงมิไยดีต่อคำครหานินทา ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งพระยศ พระมหาอุปราชินี ซึ่งมีราชสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองได้ด้วยองค์เอง
ผิดกับพระราชธิดาที่มีพระประสูติกาลแต่พระสนมเอก เฉกเช่นเดียวกับพระธิดาเนตรวลัย ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระสนมเอก กัญญาณีศรีวลัย
ถึงแม้พระธิดาเนตรวลัย จะทรงเป็น พระพี่นาง แต่ก็มิอาจปฏิบัติองค์ เช่น พระน้องนาง พักตร์พิลัย ได้ ความรู้สึกเช่นนี้ ช่างกดดัน พระธิดา เป็นยิ่งนัก
แต่เหตุผลหลักนั้นไซร้ก็คือ ขุนพิทักษ์พล มิเคยมีใจตอบกลับมาให้องค์หญิง เนตรวลัย แม้เพียงสักเศษเสี้ยวของหัวใจเลย
หัวใจทั้งเต็มดวงของท่านขุนพล ได้มอบให้กับ พระธิดาพักตร์พิลัยไปหมดสิ้น อย่างไร้ข้อกังขาอันใด ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงเนตรวลัย จึงจักต้องดำเนินแผนการที่วางไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี





จวนพิทักษ์พล
ใต้ถุนบ้าน ในจวนขุนพิทักษ์พล
นางข้าหลวงคนสนิทของ พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย ได้นำตุ๊กตาคู่รักผูกด้วยสายสิญจน์สีแดงเลือดนก ซึ่งได้รับการประกอบพิธีกรรมมากว่า 199 วัน
และในค่ำคืนเดือนแรม 9 ค่ำ เดือน 9 นี้ จักเป็นวันชี้ชะตาของ พระธิดาทั้งสอง ว่าใครจักได้ครอบครองตัวของท่านขุนพล

พิธีกรรมได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
ส่วนนางข้างหลวง นางนั้น ก็ลักลอบเข้าไปจนถึงใต้ถุนบ้าน ในจวนขุนพิทักษ์พล นางนำตุ๊กตาไปฝังไว้ ณ โคนเสาใต้ห้องนอนของท่านขุนพล


ชานเรือน จวนพิทักษ์พล
ขุนพิทักษ์พล กำลังนั่งอยู่ที่ชานเรือน เขาเหม่อมองออกไปที่สระดอกบัวหลวง หน้าจวน เขามองดูพระจันทร์ที่ลอยอยู่ในน้ำ
ทันใดนั้น ก็มีลมหวน พัดมาที่ใบหน้าของเขา เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ คล้ายกับจะเป็นลมหมดสติ
นางข้าไทนางหนึ่ง เห็นดังนั้น จึงรีบเข้ามาประคองท่านขุนพลด้วยตระหนกตกใจ
มิช้านานเท่าใดนัก ท่านขุนพลก็รู้สึกตัว แต่เขากลับมีแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่แสดงถึงความมุ่งมั่นเยี่ยงชายชาติ นักรบ กลายเป็นดวงตาที่ไร้แววดั่งซากศพ
เขาโดน เข้าให้แล้ว อย่างจัง ด้วยอำนาจแห่งมหามนตร์ดำของคุณท้าวชดช้อยโสภา ที่นางเรียกว่า มนตราสิเหน่หาผูกรัดมัดใจ
ความหายนะกำลังคืบคลานมายังนคราแห่งนี้ อย่างที่ทุกคนมิได้ตั้งตัว


เมื่อ พระธิดาเนตรวลัย ทราบความจากนางข้าหลวงคนสนิทของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย พระมารดาของพระองค์ ได้ทำการสำเร็จแล้ว ในค่ำคืนนี้ ขอให้พระธิดาทรงได้ปฏิบัติการขั้นต่อไป ตามที่ได้วางแผนเอาไว้
พระธิดาเนตรวลัย ปลอมพระองค์เยี่ยงสามัญชน ปกคลุมพระพักตร์ด้วยผ้าไหมสีหม่น ทรงพกน้ำอบหอมที่ปรุงจากว่านมหาเสน่ห์ 108 อย่างที่ได้มาจากคุณท้าวคนสนิท

ห้องนอนของขุนพิทักษ์พล ในจวนพิทักษ์พล
บัดนี้ พระธิดาเนตรวลัย ทรงอยู่ในอ้อมกอดของชายอันเป็นที่รักยิ่ง ซึ่งก็คือ ขุนพิทักษ์พล ยอดขุนศึกแห่งราชอาณาจักรศิวะพักตรา
พระองค์จักมิทรงยอมให้ผู้ใดแย่งชายผู้นี้ไปครอง แม้แต่ พระน้องนางพักตร์พิลัย

ณ ท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่แห่งวังหลวง
แต่เหตุการณ์กลับแปรผัน ไม่เป็นอย่างที่พระธิดาเนตรวลัย ทรงคาดการณ์ไว้
ในท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่ ข้าราชบริพารในท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง
ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ ทรงมีพระราชโองการให้ทราบทั่วกันเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสระหว่าง พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย และ ขุนพิทักษ์พล อันเป็นเรื่องมหามงคลยิ่งแล้ว ทำให้เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างเห็นพ้องยินดีตามพระราชโองการดังกล่าว
แต่การมีพระกระแสรับสั่งดังกล่าว ยังความโกรธแค้นแก่พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย และพระธิดาเนตรวลัย อย่างหาที่จะสุดประมาณ
มิหนำซ้ำ ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ ทรงมีหมายกำหนดงานพระราชพิธีมหามงคลภายในเพลา 3 เดือนที่จะมาถึงนี้ หากแต่พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัยจักต้องผ่านงานราชาภิเษกก่อน


ตามกฎมนเทียรบาล จักต้องอัญเชิญเครื่องสูงอันเป็นเครื่องหมายแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ อันได้แก่ ตราประทับประจำพระองค์ หยกศิวะพักตรา และ ตราประจำเมือง หยกศิวะมันตรา ลงมาจากหอคอยประจำเมือง มาประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
โดยผู้ที่อัญเชิญเครื่องสูงทั้ง 2 สิ่ง คือพระคู่หมั้นแห่งองค์อุปราช และพระโอรสหรือพระราชธิดาที่มีพระประสูติกาลแต่พระสนมเอก ตามลำดับ
ก่อนถึงวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก บุคคลผู้มีหน้าที่ทั้งสอง จักต้องรักษาศีล 8 อยู่บนหอคอยประจำเมือง พร้อมเหล่าพราหมณ์ปุโรหิต ผู้ประกอบพระราชพิธีดังกล่าว
ด้วยอำนาจแห่งศีลบริสุทธิ์ ทำให้ไสยเวทย์มนตร์ดำของคุณท้าวชดช้อยโสภาถูกสะกดไปชั่วเพลาหนึ่ง ตลอดเพลาที่ท่านขุนพิทักษ์พล ยังคงอยู่ในอุโบสถศีล ความชั่วจักต้องเป็นรองความดี

ห้องบรรทม พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย ในวังหลวง
เมื่อถึงวันงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาถึง พระมหาอุปราชินี ทรงสวมฉลองพระองค์สีทองงามอร่ามเรืองรองไปทั่วพระองค์ ทรงสวมมงกุฎประดับอัญมณีหลากสี แต่ตรงกลางเด่นสุดคือ เพชรสีน้ำเงิน รูปหยดน้ำ อันหมายถึง พระองค์ทรงเป็นขัตติยนารี โดยสายพระโลหิตแท้ ที่สืบสันตติวงศ์ มาอย่างยาวนานกว่า 700 ปี


ตามตำนานเมืองกล่าวไว้ว่า ของล้ำค่าทั้ง 2 สิ่งจักต้องเคียงคู่กัน บนหอคอยประจำเมือง แต่เมื่อถึงงานพระราชพิธีสำคัญ จักมีการนำตราส่วนพระองค์ของ พระมหากษัตริย์และพระมเหสี ไปประดิษฐานไว้แทนที่ เพื่อเป็นการแก้เคล็ดตามตำนานเมืองที่ว่า พระแท่นทั้ง 2 แห่งจักว่างเว้นสิ่งสูงค่าประจำเมืองมิได้ หากเป็นเช่นนั้น ประตูเมืองที่มีไว้เพื่ออำพรางศัตรูและประตูจริงจักสลับที่กัน ทั้งคนนอกเมืองและในเมืองจะสับสน ผู้คนทั้งหลายจักหาทางเข้า-ออกมิมีวันเจอ
แต่ก็มิมีผู้คนกล้าเสี่ยงทำการอันมิบังควรนั้น เพราะการเคลื่อนที่ของประตูอำพรางนั้นมีผลถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน กล่าวคือ พระองค์จักต้องกลายเป็นศิลาที่รอวันลบล้างคำสาป

ในท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่
พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย ทรงประทับอยู่ให้ร่มพระมหาเศวตฉัตร ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ พระราชบิดา แล พระมเหสีจิตราพรเลิศพิลัย พระราชมารดา ทรงประทับอยู่เบื้องขวา พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย แล พระราชธิดาเนตรวลัย พระเชษฐภคินีเธอ ประทับอยู่เบื้องซ้าย ขุนนาง แลข้าราชบริพารทั้งหลาย นั่งขนาบทั้งสองข้างตามทางลาดพระบาทสีแดงเพลิงจากประตูเข้าท้องพระโรงอัน โอ่อ่าหรูหราสวยงาม จนถึงพระแท่นมหาเศวตฉัตรอันทรงเกียรติ

ในใจของพระราชิดา เนตรวลัย จักโดนไฟสุมทรวง อกร้าวระทมเกินกว่าจะทนได้ แต่ด้วยทรงมีขัตติยมานะ ยิ่งแล้ว จึงต้องทำหน้าที่ให้ถึงพร้อม

ขึ้นเสวยราชสมบัติ

พระมหาอุปราชินี ทรงผ่านการพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณีและกฎมนเทียรบาลทุกประการ มิมีขาดตกบกพร่องแม้ประการหนึ่ง
ทรงมีพระนามใหม่ว่า พระนางหน่อเจ้า สุชาวดีศรีศิวะพักตร์ อันมีความหมายว่า พระนางเจ้าผู้มีชาติกำเนิด แลเป็นเกียรติแก่วงศ์ศิวะพักตร์
พระนางหน่อเจ้า ทรงมีพระบรมราชโองการ เลื่อนพระยศให้แก่ พระราชธิดาเนตรวลัย เป็น พระพี่นางเธอ เนตราพักตร์โฉมวลัย
และขุนพิทักษ์พล พระคู่หมั้น ได้ดำรงตำแหน่ง พระสวามีเจ้าพิทักษ์พลราชเสนา แล จอมทัพแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์

อาลัยพระพี่นางเธอ เนตร ฯ วลัย
ขณะที่ พระพี่นางเธอ เนตราพักตร์โฉมวลัย กำลังย่างพระบาท เพื่อนำตราประทับประจำพระองค์ เพื่อถวายแด่องค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ ก็เกิดพระอาการคลื่นเหียนวิงเวียนพระเศียร ทำให้สะดุดพระบาทล้มลงตรงหน้าพระพักตร์พระนางหน่อเจ้า ฯ พลันทำให้ตราประทับประจำพระองค์ หล่นลงสู่ลาดพระบาท
แต่ตราประทับประจำพระองค์ ก็มิได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
หากด้วยกฎมนเทียรบาล การกระทำเยี่ยงนี้มีความหมายถึง การหมิ่นพระเกียรติองค์กษัตราธิราชเจ้า จักต้องได้รับโทษทัณฑ์จนถึงขั้นประหารชีวิต
นี่คือ เหตุการณ์ที่นำไปสู่การล่มสลายแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ เชียวหรือ
ในใจของพระพี่นางเธอ เนตราพัตร์โฉมวลัย หล่นไปสู่ปลายพระบาท ทรงดำริว่า เรามีอาการวิงเวียนศีระษะมาพอประมาณ อีกทั้งโลหิตประจำเดือนก็ขาดหายไปประมาณ 3 เดือนแล้วเห็นจักได้ พระนางจึงถึงบางอ้อ ว่า เราจักต้องโทษก็เพราะตัวเราเอง แต่เรายังอยากจะเห็นลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา เหตุใดเราต้องมีชะตากรรมเช่นนี้
ด้วยในใจ ก็คิดถึงแต่ใบหน้าของชายอันเป็นที่รัก อีกใจก็นึกเกลียดชังว่า เราทำไมต้องเกิดมาเป็นลูกของพระสนมด้วย ทำไมเราถึงด้อยค่าเช่นนี้ ไม่สามารถเทียบชั้นได้กับ พักตร์พิลัย แม้แต่น้อย
ลูกน้อยที่เกิดกับชายอันเป็นที่รักจักนำมาซึ่งความหายนะ ลุแก่โทษถึงขั้นถูกประหารอย่างทรมานด้วยท่อนจันทน์
แต่ในใจของพระนางก็ไม่เคยหวาดหวั่นแม้แต่น้อยนิด กลับคิดว่า หากมีชาติหนึ่งชาติใดที่เราจักต้องได้กลับคืน สู่ตำหนักเวียงอันรื่นรมย์ เราจักขอมีอำนาจเหนือ พักตร์พิลับด้วยประการทั้งปวง
ลาก่อน ชายอันเป็นที่รัก มารดาอันเป็นที่เคารพ และลูกน้อยที่เราไม่มีโอกาสได้ให้กำเนิด ในใจพระนางเต็มไปด้วยใบหน้าของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
พระนางไปแล้วด้วยดี หากแต่ ทิ้งความขุ่นเคืองพระทัยไว้กับพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย พระมารดา เป็นอย่างสุดจะกล่าวได้
อดีตพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำพระทัยที่ทรงสูญเสียพระธิดา ผู้เปรียบดังดวงแก้วมณี อย่างมิมีวันหวนคืน ทำให้ทรงคิดวางอุบายที่จักแก้แค้น พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ ด้วยความแยบยล

ณ ชายป่า ห่างไกลจากเมืองหลวง ศิวะโลกาปุระ
อย่างแรกที่ทรงกระทำคือ เกิดจากกฎมนเทียรบาลแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ที่ว่า เมื่อองค์กษัตริย์พระองค์ใหม่เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อดีตพระราชาจักต้องเดินทางออกจากเมืองหลวงเพื่อเดินธุดงค์ไปกลางป่า เยี่ยงฤๅษีชีไพร พร้อมเหล่าอดีตพระมเหสีและพระสนม ตราบจนพระชนม์ชีพจะหาไม่
เมื่อถึงชายป่า พระนางทรงวางยาพิษในผลไม้เสวยของอดีตพระราชาและ ผู้ติดตาม

ณ อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์
เนื่องจากเหล่าปุโรหิต ไม่สามารถหาวันที่มีฤกษ์อันเป็นมงคล เพื่อจักนำเครื่องสูงทั้ง 2 ไปไว้ที่พระแท่นเช่นดังเดิม ทำให้ตราประทับส่วนพระองค์แห่งอดีตองค์กษัตริย์ แล อดีตพระมเหสี จักยังคงสถิตอยู่ ณ หอคอยประจำเมืองดังเดิม
แต่ตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา แล ตราประจำเมือง ศิวะมันตรา ยังคงอยู่ใน อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์
ส่วนพระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ จักต้องเสด็จฯ ไปพำนักอยู่ ณ พระตำหนักแห่งกษัตริย์พระองค์ใหม่ พระองค์จึงไม่ทราบถึงความเคลื่อนไหวภาย อดีตพระตำหนักของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ ก่อนอดีตพระราชาแล อดีตพระมเหสี จักต้องเดินทางออกธุดงค์สู่กลางไพรพนาสัณฑ์ อดีตพระสนมกัญญาณีศรีวลัย จึงติดสินบนยามเฝ้าทวาร อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าฯ เพื่อลักลอบนำเครื่องสูงทั้ง 2 ออกมาปลอมแปลง และนำไปกลับไปไว้เช่นเดิม

ตามตำนานเมือง กล่าวว่า หากเครื่องสูงล้ำค่าควรเมือง แม้เพียงหนึ่งสิ่งอันใดถูกนำออกจากขอบเขตพัทธสีมาแห่งพระนครหลวง ศิวะโลกาปุระ แล้วไซร้ มหานคราแห่งนี้จักถึงกาลล่มสลาย พระราชาจักต้องคำสาปกลายเป็นหิน และถูกจองจำดวงพระวิญญาณ
ประตูเมืองจักปิดตาย ผู้คนจักหาทางเข้า-ออกมิเจอ เป็นเหตุให้ผู้คนที่ถูกกักขังไว้ในเมืองขาดแคลนอาหารจนตกตายไปตามกัน และดวงวิญญาณของทุกคนจักต้องถูกกักขังจองจำเอาไว้ในเมืองหลวงตราบฟ้าดินสลาย เช่นกับองค์กษัตริย์ของพวกเขา
ตราบเมื่อใดที่เครื่องสูงทั้ง 2 จักต้องกลับคืนนิวัตสู่พระนคร ดวงพระวิญญาณแห่งองค์กษัตราธิราชเจ้า ช้าราชบริพาร แล ผู้คนใต้พระบรมโพธิสมภาร ถึงจักสามารถหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการแห่งอำนาจคำสาป


ณ เมืองประเทศราชแห่งจักรวรรดิศิวะพักตรา
มีเพียงปุโรหิตหนุ่ม ผู้นามว่า เชตวุทธ ผู้มีความชำนาญด้านดาราศาสตร์เป็นอันมาก ผู้ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่เพราะท่านปุโรหิต เพิ่งจักเข้ามารับราชการรับใช้สนองพระบรมราชโองการได้ไม่นาน สัก 2 ปี เห็นจักได้ จึงยังไม่มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดองค์กษัตริย์เท่าใดนัก
ท่านปุโรหิตจึงยังไม่มีโอกาสถวายคำพยากรณ์ที่เขาได้ทำนายจากการสังเกต ปรากฏการณ์บนฝากฟ้าพบว่า ดาวประจำองค์กษัตริย์องค์ปัจจุบันและดาวประจำคู่อริที่เป็นศัตรูผู้มุ่งร้าย นั้นเคลื่อนมาพบกันในรอบ 1,000 ปี จนทำให้บ้านเมืองเกิดเภทภัยนานับประการจนถึงขั้นล่มสลายได้เลย
ท่านปุโรหิต จึงจับยามสามตา ดูเหตุการณ์วุ่นวายต่าง ๆ ภายในเมือง จึงรู้ว่า บัดนี้นั้นสายเกินแก้ มีทางเดียวก็คือ จักต้องติตามหาเครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองกลับมาประดิษฐาน ณ พระแท่นบนหอคอยประจำเมืองดังเดิม
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ จึงต้องออกเดินทางจากเมืองประเทศราช มาจนถึงชายป่าใกล้เมืองหลวง แต่ก็ได้ทราบข่าวว่า สายเกินไปแล้ว เพราะทุกคนภายในเมืองล้วนตกอยู่ในคำสาปอาถรรพ์แห่งมหานคราศิวะพักตรา
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ จึงเปลี่ยนความคิดที่จะต้องหาทางสืบให้ทราบว่า เครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองทั้ง 2 สิ่งนั้นตกไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใดกันแน่ ท่านปุโรหิตจึงลองสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่หนีรอดจากเหตุการณ์ความวุ่นวายกลา งมหานคราอันเรืองรอง
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ สืบสาวหาความจริงจนกระจ่างแจ้งแก่ใจว่า บัดนี้ เครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองทั้ง 2 สิ่งนั้น ตกอยู่ในเงื้อมมืออันชั่วร้ายของยายแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภา และบัดนี้ นางกำลังเดินทางกลับสู่ที่ตั้งชนเผ่าดั้งเดิมของนาง
นางเดินทางกำลังจะถึงใกล้หมู่บ้านของนาง ท่านปุดรหิต เชตวุทธ ก็ตามมาเจอนางแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภา ทั้งสองเข้าประทะกันด้วยอำนาจแห่งมนตร์คาถาไสยเวทย์ ฝ่ายใดจักเป็นผู้พ่ายแพ้ แล กำชัยชำนะ
ทั้งท่านปุโรหิต แล คุณท้าวชดช้อยโสภา ต่างมีฝีไม้ลายมือที่ไม่เป็นรองแก่กันแม้เพียงสักกระเบียดหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ท่านปุโรหิต เชตวุทธ สามารถแย่งชิง ตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา กลับคืนมาได้
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ ได้รับบาดเจ็บไปพอสมควร แต่ยังพอมีกำลังที่จะสามารถนำพาตนเอง แล ศิวะพักตรา หนีรอดจากเงื้อมมือของนางแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภามาได้อย่างหวุดหวิด และสามารถกลับคืนที่พำนักแห่งตนได้อย่างปลอดภัยด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์สายขาว หรือ สายธรรมะ
ศิวะพักตรา จึงถูกส่งต่อจากรุ่นของท่านปุโรหิต เชตวุทธ สู่รุ่นลูกรุ่นหลาน พร้อมกับคำสั่งเสียของท่าปุโรหิตที่ว่า จะต้องหาเมืองมหานคร ศิวะพักตรา ให้เจอและนำกลับไปประดิษฐานไว้ ณ พระแท่นดังเดิม

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลัทธิ..บูชา..นาคราช...นาคเทวี

เมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปี ที่แล้ว นี้เอง

ที่ อาณาจักร แอตแลนเธีย ขยายอิทธิพล และ อาณาเขต

จาก เกาะใหญ่ กลางทะเลใต้

ทำให้ ทุกทั่ว หัวระแหง มี วัฒนธรรม 

และ ความเชื่อ ที่เหมือนกัน

เพราะ ประตูเวลา นั่นเอง

ที่ทำให้ อาณาจักร แอตแลนเธีย ครอบงำความคิด ของผู้คน ทั้งโลก



แอตแลนเธีย ปกครองด้วย ๒ ชนเผ่า คือ เผ่าอาทิตย์ และ เผ่าพระจันทร์


มีอยู่ ยุคหนึ่งที่ เผ่าพระจันทร์ ครองอำนาจ และสามารถขับไล่ เผ่าอาทิตย์ ออกไป

จากเกาะแอตแลนเธีย ได้อย่างสมบูรณ์ แบบ

กล่าวคือ สามารถขับไล่ ชนเผ่าอาทิตย์ ออกไป จนไม่หลงเหลือ ผู้คนที่สืบเชื้อสายจาก

เผ่าอาทิตย์ แม้เพียงคนเดียว

ทำให้ เผ่าอาทิตย์ ต้องถอยร่น ไปอยู่ อีกซีกโลกหนึ่ง ที่มีอากาศหนาวเหน็บ

ใน ฤดูฝน นั้นมี หิมะ ตก แทนที่จะเป็น ฝนตก

การทำมาหากิน ก็เป็นไปอย่างอยากลำบาก

จำเป็นต้อง สะสมเสบียงกรัง ให้ เพียงพอ ก่อนที่ จะเข้า ฤดูฝน อีกรอบหนึ่งของปี



ชนเผ่า ทั้งสอง มีความยึดมั่นศรัทธา ต่อธรรมชาติ เป็นอย่างมาก

ทั้งสองเผ่า ต่างนับถือ ลัทธิบูชานาคราช และนาคเทวี

แต่ เผ่าอาทิตย์ จะให้ความสำคัญต่อ นาคราช มากกว่า

ต่างจาก เผ่าพระจันทร์ ที่เคารพ นาคเทวี มารดาแห่งสรรพสิ่งมากกว่า



การบูชา ธรรมชาติ ก็ต้องใช้ สิ่งของที่แทน ความยิ่งใหญ่ ของธรรมชาติ

ก็คือ ศิลา หรือ ก้อนหิน นั่นเอง


การบูชา นาคราช จะปั้นเป็นหิน สีเงิน เรืองรอง

เหตุที่มีสีเงินเรืองรอง เพราะ ผสม แร่ควอทซ์ เอาไว้

นี้คือ ภูิมปัญญา อย่างหนึ่ง ในการเก็บสะสม แร่ควอทซ์ เอาไว้ ในยามที่ขาดแคลน

ก็นำมาปั่น เพื่อร่อน เอาแร่ควอทซ์ ออกมาใช้งาน

ไม่ว่า จะเป็น เชื้อเพลิง ในการเปิด ประตูมิติเวลา

ซึ่งเป็นการสัญจร ที่ทันสมัยกว่าปัจจุบัน เป็นอันมาก


ส่วน การบูชา นาคเทวี จะปั้นเป็น หิน สีทอง เรืองรอง

ที่เป็น สีทอง เรืองรอง เพราะ มีแร่ ทองคำ และ ทองแดง เป็นส่วนประกอบ

นั่นเอง


แต่ พบว่า ยุคต่อมา ก็มี การผสมผสาน แร่ ต่าง ๆ เข้า ไป

แม้แต่ แร่อัญมณี ต่าง ๆ

ก้อนหินบูชา จึงมีสีสันที่สวยงาม หลากหลายรูปทรง

ขึ้นอยู่กับ ค่านิยมของแต่ละพื้นที่



ประเพณี บูชา นาคราช..นาคเทวี สืบทอดกันมาจนถึง ยุคเมื่อ ๑,๐๐๐ ปีที่แล้ว


แต่ การบูชา นาคเทวี จะเลือนหาย

เมื่อ ๑,๐๐๐๐ ปีมาแล้วเช่นกัน



เพราะ เมื่อ เผ่าอาทิตย์ กลับมา ครองอำนาจ เหนือ อาณาจักร แอตแลนเธีย อีกครั้ง

ได้สั่งให้ ทำลาย พิธีกรรม ที่แสดงถึงการเคารพ นาคเทวี

เพราะ โกรธแค้น ที่ตน เคยได้รับการดูหมิ่น จากเผ่าพระจันทร์

ซึ่งเคารพ นาคเทวี เหนือสิ่งอื่นใด


เรียกง่าย ๆ คือ เป็นการข่มขวัญศัตรู นั่นเอง



ถึงแม้ว่า ยุคก่อน อาณาจักรแอตแลนเธีย ล่มสลาย

จาก มหาธรณีวิบัติ  ซึ่ง เผ่าพระจันทร์ กลับมาครองอำนาจ

ก็หาได้ แสดงความเคารพต่อ นาคเทวี เช่นดังครั้ง บรรพกาลเก่าก่อนมา



ลัทธิบูชา นาคเทวี จึงเสื่อมสูญสลาย ไปตามกาลเวลา ที่ผันผ่าน

และน้อยคนนัก ที่จัก ได้รู้ความเป็นมาที่น่าเศร้าสลดหดหู่ใจ เป็นยิ่งนัก




(ช่วงเรื่องเล่า..จากความฝัน..เฟื่อง)

โดย  Winnie the ENG

ความ...ล่มสลาย...แห่งยุค

แล้ว เพราะ เหตุใด มหานคร อย่าง แอตแลนเธีย จึงล่มสลาย

เพราะ ผู้คน มีวิวัฒนาการ ด้านความรู้ ที่เหมือนกัน

ทำให้ เกิดการแย่งชิง ทรัพยาการ ในการขับเคลื่อน ทุกสิ่ง

ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ผลประโยชน์ นี่เอง ที่เป็นบ่อน ทำลาย ชาติ อันยิ่งใหญ่ เกรียงไกร

จน หา จุดกำเนิด รากเหง้า ความเป็นมาแห่งความยิ่งใหญ่ ได้ แม้แต่สัก กระเบียด


ความแตกแยก นั้นเกิด จากการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย

ตามชาติพันธุ์ นั่นเอง

บนเกาะ ที่เกรียงไกร อย่าง แอตแลนเธีย ก็เช่นเดียวกัน


แอตแลนเธีย เป็นเกาะใหญ่ ทางตอนใต้ ของโลก

มีกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยิ่งใหญ่ เพียง ๒ ชนเผ่า คือ เผ่าอาทิตย์ และ เผ่าพระจันทร์

คอยสลับกันปกครอง อาณาจักร แอตแลนเธีย

จนมาถึง ราชวงศ์ สุดท้าย ที่มี พระเจ้า แอตก้า ที่ ๖ และ พระราชินี โซฟินา

ซึ่งสืบเชื้อสาย มาจาก เผ่าพระจันทร์


เผ่าพระจันทร์ ผมดำ ตาสีน้ำตาล ร่างกายบอบบาง ตัวเล็ก แต่ฉลาดกว่า

เผ่าพระอาทิตย์ ผมแดง ตาสีฟ้า ร่างกายกำยำ ตัวใหญ่ แต่เจ้าเล่ห์ เพทุบายกว่า


เหตุการณ์ ที่ทำให้เกิดความแตกแยก ในราชวงศ์

เนื่องมาจาก การที่ พระเจ้า แอตก้า ทรงมี พระเมตตา เกินไป

ทรงให้ ข้าราชบริพาร มาจากทุก ชนเผ่า คอยถวายงานรับใช้ เบื้องพระยุคลบาท

รวมถึงเผ่า อาทิตย์ ด้วย ถึงขั้นให้เป็น มหาอำมาตย์ ฝ่ายซ้าย

คอยรับใช้ ทูลกระหม่อมอย่างใกล้ชิด

จนทำให้ เกิดความสัมพันธ์ ใกล้ชิด กับ พระราชธิดาพระองค์โต


เพราะ เผ่าพระจันทร์ สืบสันตติวงศ์ ตามเชื้อสายจากพระโอรส ใน พระราชธิดาองค์โต

เพราะ มีความมั่นใจที่ว่า เป็นเชื้อสาย โดยแท้ จาก ปฐมบรมกษัตริย์แห่ง แอตแลนเธีย


จากเหตุการณ์ ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อพิพาท ที่ว่า

ผู้ที่มาสืบ สันตติวงศ์ ต้องไม่ใช่ โอรส

หาก เป็น ชาย จะทำให้ การครองราชย์ มีปัญหา เป็นแน่แท้



บทสรุป ไม่ต้องบอก คือ พระราชธิดา ทรงมีพระสูติกาลเป็น พระโอรส


จึงทำให้ เกิดความพินาศ ไปทุกหย่อมหญ้า


เพราะ พระโอรส ทรงมี นิสัย โหดเหี้ยม ผิดจาก คนทั่วไป

เพราะพระองค์ มิใช่ เชื้อสาย จาก เผ่าพระจันทร์ โดยแท้

จึงทำให้เกิดอาเภท ต่าง ๆ ไม่ได้หยุดหย่อน

เป็นต้น คลังหินแร่ควอตซ์ ระเบิด, ทำให้ การสัญจร นั้นมีปัญหาตามมา

เพราะขาดเชื้อเพลิง ในการประกอบกิจกรรมในแต่ละวัน



เมื่อคลังหินแร่ ที่มีความจำเป็น เสียหาย

พระเจ้า แอตก้า จึงมีพระราชสาสน์ ไปยังคลังหินแร่ในความปกครอง ของเผ่าอาทิตย์

แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ แต่อย่างใด

พระองค์ จึงสั่งให้ใช้ กำลังทหาร เข้ายึดพื้นที่ คลังหินแร่

แต่มิเป็นผลสำเร็จ ต้องเสียเสบียง และไพร่พล ไปเป็นอันมาก


กว่าจะมารู้ตัว ว่า อำนาจ นั้นตกไป ให้แก่ฝ่ายศัตรู คือ เผ่าพระอาทิตย์

ที่มี มหาอำมาตย์ คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ทุกเหตุการณ์

นับตั้งแต่ เหตุการณ์ คลังหินแร่ควอตซ์ ระเบิด



สุดท้าย พระองค์ ยังถูกลอบปลงพระชนม์ ท่ามกลางความวุ่นวาย

ในพระราชวัง อัครสถาน ที่คิดว่า จะมีแต่ความรื่นเริง บันเทิงจิตใจ



มหาอำมาตย์ ขึ้น ครองราชย์ ในนามแห่ง เผ่าพระอาทิตย์

และ ส่งต่อราชบัลลังก์ แก่ พระราชโอรส ซึ่งก็คือ พระเจ้า แอตแลนติสก้า


พระองค์ ทรงมีความเหี้ยมโหด ทารุณ กล้าได้ กล้าเสีย

พระองค์ ทรงขยาย ดินแดน ออกไปไกล เกิน กว่า ยุคสมัย ของพระเจ้าตา เสียอีก


แต่เป็น ผลจากการ ที่ มีพระนิสัย มุทะลุ ดุดัน เกิดไป

พระองค์ จึงทรงให้เพิ่ม อัตรากำลัง ในการสะสม อาวุธ ที่มีความรุนแรง

เทียบเท่า ระเบิด ปรมาณู ในปัจจุบัน


ทรงให้มีการทดสอบ ระเบิด และ อาวุธยุทโธปกรณ์ ใกล้เกาะแอตแลนเธีย

ณ ที่ประทับ ของพระองค์

ทรงมิมี ความหวั่นเกรงว่า มันจะย้อนมา ทำลายล้างทุกชีวิตบนเกาะ

แม้แต่ตัวพระองค์เอง



พระราชธิดาพระองค์โต ใน พระเจ้า แอตก้า และพระราชินี โซฟินา

ทรงเสด็จฯ หนี ไปพร้อม พระราชมารดา เมื่อ สมเด็จพ่อ ของพระนาง สิ้นพระชนม์

ในคราวเหตุการณ์ ความวุ่นวายทางการเมือง


ทรงหลบไปพร้อมกับขบวนพระศพ  ไปยังเกาะ พระจันทร์

ซึ่งเป็น สุสานหลวง แห่งราชวงศ์ แอตแลนนา (เชื้อสายพระจันทร์) โดยแท้

เกาะพระจันทร์ อยู่ห่างจาก เกาะแอตแลนเธีย ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร

แต่ด้วย ประตูเวลา ใช้เวลาเพียง ๕ นาที ก็ถึง สุสาน กลางเกาะ



พระธิดา ทรงมี ทหารองครักษ์ ติดตามพระองค์ เพียง ๕๐ คน

หนึ่งในนั้น คือ นายทหารหนุ่ม นามว่า สกายติสนีย์


เมื่อชายหนุ่ม และ ราชนิกุลสาว แสนสวย มาพบกัน

ถึงแม้ พระนางจะทรง เคยผ่านการสมรสมาแล้ว

แต่ ก็ยังทรงพระเยาว์ และ ทรงเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์

ถึงแม้ ตอนนี้ จะกลาย เป็น องค์หญิงพลัดถิ่น ไร้ซึ่งบัลลังก์

แต่ก็ ยังทรง ราชสิทธิ ในแผ่นดินเยี่ยง เดียวกับ องค์หญิงในเผ่าอาทิตย์



ในใจ ของพระนาง คิดถึงความอยู่รอดแห่งราชวงศ์ อันเกรือกไกร

พระองค์ จะทรง ท้อแท้ มิได้

แถมมิหนำซ้ำ ยังทรงพระครรภ์ อยู่ ณ เวลานี้

พระองค์ ทรงคิด ว่า หาก เด็กที่เกิด มา มีชีวิตรอด จักต้องช่วยกอบกู้ ศักดิ์ศรี แห่งราชวงศ์

ได้โดยแน่ 



จะมี ใคร คิดว่า จะไม่มีวันนั้น อีกต่อไป



แต่ด้วยบุญญาธิการ แห่งพระราชธิดา พระองค์ น้อย

บังเกิดให้ พระนางทรง รอดพ้นจาก ภยันตราย ต่าง ๆ นานับประการ

มาอย่างปลอดภัย จนถึง

วัน..ล่มสลาย..แห่งยุค


วันที่ พระองค์หญิงน้อย มีประสูติกาล เป็นวันที่เกาะ แอตแลนเธีย ได้เลือนหาย

ไปจาก หน้าประวัติศาตร์ ที่รุ่งเรือง เมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปี ก่อน


แต่ ปาฏิหาริย์ แห่งความดี ยังมีอยู่

หรือเพราะพระบารี แห่ง องค์หญิงองค์น้อย ซึ่งมีพระนามว่า โสมนัสตรา

ซึ่งกลายมาเป็นผู้บุกเบิกอาณาจักร ในดินแดนแถบอียิปต์ โบราณ นั่นเอง





(ช่วงเรื่องเล่า จาก ความฝัน..เฟื่อง)

โดย Winnie the ENG

ความสะดวก..ยุค ๑๐,๐๐๐ ปีที่แล้ว

ความสะดวก ยุคเก่าก่อน นาน นม มา

แต่ หาได้ ล้าสมัย ไม่ อาจะจะล้ำยุค กว่าปัจจุบัน

เพียงแต่ คนอดีต นั่นไซร้ ล้วนความจะเสื่อม จากผลพวงที่ตนเองได้สร้างสม เอาไว้



การทำลายล้าง กันเอง ทำให้ นวัตกรรมยุคเก่า ก่อน ล้วนเลือนหาย

เพราะไม่หลงเหลือ คนที่จะมา เล่าชี้แจง แถลงไข

ถึงความ น่าพิศวง งง งวย ถึงความ ไม่น่าจะเป็น ไปได้


คนยุคเก่า เดินทาง ด้วย ประตู มิติ หรือ ที่เราเรียกว่า หลุมดำ นั่นเอง

คล้าย ๆ กับ ไทม์ แมชชีน ของ โดเรมอน ก็ไม่ปาน



แต่ แล้ว ทำไม ความหฤหรรษ์ แห่ง ความสะดวกสบาย

ทั้งหลาย แหล่ กลับเลือนหาย ไปอย่างไร้ ร่อยรอย สืบค้น ได้เลย

แม้แต่ เศษผงธุลี หรือ โครงกระดูกมนุษย์ สักชิ้น ที่พอจะอธิบาย


เหตุการณ์ อันแสนเลวร้าย น่ากลัว น่าพรั่นพรึง

เหมือนเหตุการณ์ ทิ้งระเบิด ปรมาณู  ณ เกาะ ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น



คำตอบ คือ


ผู้คน ล้วนตายจาก

เพราะเหตุการณ์  มหาธรณีพิบัติ  ครั้งใหญ่

ที่ทำให้แผ่น ยุบตัว จากที่หนึ่ง และไปโผล่ อีกที่หนึ่ง





ณ ดินแดน ทะเลใต้  มีมหานคร อันรุ่งเรือง ผ่องอำไพ

เจ้าผู้ครองนคร มีพระนามว่า  พระเจ้า แอตก้า ที่ ๖ แห่งกรุง แอตโธเปีย

และ พระราชินี พระนามว่า พระนาง โซฟินา ผู้เลอโฉม และฉลาด ปราดเปรื่อง



ทั้งสองพระองค์  ทรงเป็น นักวิทยาศาตร์ แห่ง ยุค แอตแลนเธีย


ทรงมุ่งมาด ที่จะจำให้เกิดความเจริญไปทุกหย่อมหญ้า

ทรงวาดฝัน ให้การเดินทาง ระหว่าง ที่หนึ่ง ไปยัง ที่หนึ่ง ได้อย่างงาย

เพียง ชั่วอึดใจ ก็ถึงที่หมาย เหมือนดั่ง เทพธิดา เสกสรร ให้เป็นไป ตามประสงค์



ความฝัน ของ ทั้งสองพระองค์ ได้บรรลุเป้าหมาย ที่วางไว้ ทุกประการ

ทำให้ ประเทศของพระองค์ เจริญรุดหน้า ไปเกินกว่า ทุก ชาติใดในโลกหล้า


พระองค์ ทรง ขยาย พระอิทธิพล ออกไปไกล ทุกที ทุกที

จนเกือบ จะทั้งโลก ที่ ปกครอง โดย ทั้งสอง พระองค์

ทำให้ ทั่วทุกมุมโลก ล้วนมี นวัตกรรม ต่าง ๆ เหมือนกัน


เหมือนกับ ปัจจุบัน  แต่ต่างกัน ตรงที่  นวัตกรรม ยุคแอตแลนเธีย ล้ำสมัย กว่ามาก

ไม่รวม การเดินทางสัญจร ที่ ใช้ ประตูมิติ แห่งเวลา (Time Machines)


การเคลื่อนย้ายวัตถุ ต่าง ๆ ก็ใช้ แร่ควอต หรือ หินเขี้ยวหนุมาน

เพราะ เป็นแร่ ที่ใช้เริ่มต้น ในการผลิตกระแสแม่เหล็ก ไฟฟ้าในสมัยก่อน

ไม่ต้อง สร้างเขื่อน สร้างฝาย ให้ยุ่งยาก

เพียงมี แร่ควอต อยู่ใน เครื่องมือกำเนิดพลังงาน ตัวนี้

ไม่ต้อง ใช้ในปริมาณที่ มาก แต่ก่อให้เกิด พลังงานอันมหาศาล

ซึ่งต่อมา กลายเป็นจุดเริ่มต้น มหาโศกนาฏกรรม ครั้งสำคัญ ที่เป็น จุดจบ

ของความยิ่งใหญ่ อลังการ แห่งยุคสมัย ที่ชื่อว่า แอตแลนเธีย


(ช่วงเรื่องเล่า จาก ความฝัน...เฟื่อง)
โดย Winnie the ENG



วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้ำตา...นางพญา (๒)

ที่ใด มีรัก....ที่นั่น มีทุกข์

ในเมื่อ ทุกข์ นี้ จะตกต้อง แก่ ประชาชน ตาดำ ๆ ทุกคน

ในมหานคร อันเลื่องชื่อ ที่มีนามว่า สุหวันปุระ



เหตุการณ์ จากตอนที่แล้ว

กล่าวถึง ความอดีตกาล เมื่อครั้ง ก่อร่างสร้าง กรุงไกร แห่งใหม่

ท่ามกลาง สงครามที่ เพิ่งจะ บรรจบ แก่ความล่มสลาย ของฝ่ายพ่ายแพ้

ซึ่งก็คือ นครปัญจวาตีศรีสุเทพอุทัย


สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรพรรดินี พระนามว่า พระนางเจ้าอยู่หัวมิ่งเมืองแมนแสนเลิศเพริศพิลัย

ต้องตกมาเป็นเมือง ประเทศรายา แห่งนคร สุหวันปุระ

และต้องเสีย พระเจ้าลูกเธอ พระนามงามยิ่งแล้ว ว่า

พระเจ้าลูกเธอ พระนางปัญจวาตีศรีอุทัยสวรรค์ ตกเป็น สิ่งบรรณาการอันหาค่ามิได้

แก่เมืองเจ้าอาณาจักรทั้งปวง คือ สุหวันปุระ


ผู้คนถูกกวาดต้อน ฝ่ายชายถูกเกณฑ์ ไปเป็นทาสา ฝ่ายหญิงถูกเกณฑ์ ไปเป็นทาสี

ฝ่ายหญิง นางใน ที่มี รูปโฉม สคราญ งามหยดย้อย

จักถูกต้อน ไปรวมอยู่ ณ ลาน โลกียรมณียสถาน

หมายถึง ลานพิธีไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง กลางเมืองใหญ่ ที่ให้ ชายอัครรายาทูต ต่างเมือง

มาเลือกเฟ้น ไปเป็น นางบำเรอ ปรนเปรอความสุข ทั้งยามหลับ และยามตื่น


หากนางผูใด มิ ยินยอม พร้อมใจ แต่โดยศิโรราป

จัก มีโทษตาย อย่างเดียว คือ โดน กระทำชำเลา ย่ำยี ให้ถึงแก่ความตาย

วิญญาณ ยังต้องถูก สะกด ไว้อยู่คู่ กับ รูปสลัก นางอัปสราประภัสสร

ใต้ฐาน รอบปราสาท รายาวัง และ กำแพงเมือง

เพื่อคอยเป็น ปราการด่านสำคัญ ในการ รักษา นครา แห่งนี้ ให้แผ่วพลาญ จากศัตรู

แต่ ตอนหลัง กลับกลาย เป็น สุสาน ของ เจ้าของ นครา ทุกผู้ นั่นเอง


ผู้ใด ยอม แต่โดยศิโรราป จักโดน เปลื้องผ้า ให้ เห็นเนินอก แล ปทุมถัน

โดน ขนานนามว่า นางอัปสรายาณี

นางใดที่เป็น หญิงงาม ลือชื่อ จ้กได้รับการ แกะสลัก รูปลักษณ์ ไว้บน ผนัง

แห่ง โลกียรมณียสถาน แห่งนี้ นี่เอง


พระนางเจ้า รานีเธอ โดนตัดสิน ประหารด้วย ท่อนจันทน์หอม

พระศพ ถูก ทหารเลว กระทำชำเลา กว่า ๑๐๐ นาย

พระศพ ถูก ตัด พระเศียร เสียบประจาร ไว้หน้าประตูชัย แห่ง นครสุหวันปุระ


กาลครั้งนั้น สร้างความแค้น ให้บังเกิด แก่ชาว ปัญจวาตีศรสุเทพอุทัย หาที่สุดมิได้

โดย เฉพาะ พระเจ้าลูกเธอ พระนางปัญจวาตีศรีอุทัยสวรรค์


พระนางเธอ ถุกจับได้ ว่า ลักลอบก่อกบฎ ปลายสมเด็จสมัย แห่ง

สมเด็จพระรายาองค์อาทิตย์สุริยวงศ์ ปฐมบรมกษัตราธิรายา แห่ง รายาวงศ์ องค์อาทิตย์

ในสมัยกาล ก่อนปัจจุบัน ๕๐๐ ปี


พระนางเธอ ถูกจองจำ จนกว่า ชีวิต จะหาไม่

พระนางเธอ สิ้นพระชนม์ ด้วยวัยสาว ๑๕ ชันษา

ภายใต้ คุก อันมืดมิด ดุจ ยามนิทราราตรีคืน


ทุกยาม ค่ำ พระนางเธอ จัก สวดสาปแช่ง ผู้ที่ทำให้ พระนางมี จุดจบ เยี่ยงนี้

ซึ่งก็คือ ผู้ที่กลับชาติมา กำเนิด เป็น

สมเด็จรายา องค์ที่ ๑๓ แห่งสุหวันปุระ ในปัจจุบันกาล นั่นเอง

น้ำตา...นางพญา

เรื่องเล่านี้ เหมาะกับ ผู้ใหญ่ เท่านั้น
เด็กต่ำกว่า ๑๘ ไม่ควรอ่าน


แปลก...แต่...จริงที่ คนเรา ไม่ค่อยได้จะสำรวจตัวเอง เท่าใดนัก

เช่นเดียวกับ เรื่องที่จะเล่า ในวันนี้


พระนางปัญจวาตี ศรีสว่างอารีฤทัยมาศ

พระนางใน สมเด็จพระรายาธิบดี องค์ที่ ๑๓ แห่งสะหวันปุระ อันรุ่งเรืองกระจ่างไกล

พระนางทรงมี สิริโฉม งดดงามยิ่ง แต่ในความงามหาที่เปรียบมิได้นั้น

พระนางทรงเปี่ยมไปด้วย ความทารุณ โหดร้าย


ณ สวนสวรรค์ กลางพระตำหนัก ทิศตะวันตก

ใน พระนางกังสตาลวตรีสรวล

พระนางเธอ ใน สมเด็จรายา ทุกพระองค์

ทำไม...ถึงต้อง ใช้คำว่า ทุกพระองค์

คำตอบ คือ ยามก่อนที่ สมเด็จพระรายาธิบดี ทุกพระองค์


จะเสด็จ เถลิงถวัลยรายาสมบัติ นั้น 


ทุกพระองค์ จักต้อง มาศึกษา กามสูตร กับพระนาง ก่อน




ก็หมายความว่า มาเรียน เรื่องเพศศึกษา ภาคปฏิบัติ


กับ พระนางกังสตาลฯ ก่อน นั่นเอง


ก็เพื่อที่ จะไม่เกิดความลุ่มหลงใน อิสตรี ทั้งปวง


ในใต้หล้า แห่งมหานคร แห่งนี้




สุดท้าย แล้ว ใคร ก็ ไม่มี อำนาจ ไปกว่า พระนาง


เพราะ พระนาง ไม่เคย ตาย นั่นเอง


พระนางจะ สับเปลี่ยน วิญญาณ ตน เข้ากับ ร่างใหม่ 


ทุก ๆ ครั้ง สังขาร เดิม เริ่มชราภาพ


เพราะฉะนั้น จึงไม่เคย มีผูใด เคยเห็นโฉมหน้า อันแท้จริง


ของพระนาง มาก่อน 


เพราะ นางมีความเป็นส่วนตัว ค่อนข้างสูง ถึงสูงมากที่สุด


ยามเมื่อ นาง เยื้องย่างไป หน ใด ก็จะต้อง มีเสียงกระพรวน


นำหน้า นางมาก่อน ทุกครั้ง


ภายใต้ ชุดคลุม สีดำ สนิท 


นาง จะใช้ สังขาร ที่นางเลือกสรร มาอย่างไม่ ปราณีปราศรัย


นาง ชื่นชอบการ เสพ กาม เป็นอย่างมาก







แต่ การเสพ ของนาง เป็นไป เพื่อการอยู่รอด ในภพ นี้



เพราะ ร่างของหญิงสาว ที่ นาง เลือกนั้น ล้วน มีชะตา ที่จะต้องตาย 


ตั้งแต่เยาว์วัย แทบทั้งสิ้น




ดังนั้น จึงต้อง ได้ พลังชีวิต จาก น้ำกาม เพียงอย่างเดียว


ทำไมเรา ถึงเรียก กามเทพ 


เพราะ กาม นั้นหมายถึง ความรัก มิใช่หรือ




ชายที่ นาง จะร่วมเสพ ด้วยนั้น 


จะต้องเป็น ชาย ในวรรณะกษัตริย์ เท่านั้น


หากนาง ผิด แผก ไปจากเดิม  จะทำให้ เกิด อาเพส แก่ตัวนาง เอง






กล่าวคือ ดวงวิญญาณ ของ นางจะค่อย ๆ เสื่อมถอย


นางจะมีความรัก ให้แก่ชายใด มิได้


นางเหมือนดั่งต้อง คำสาป


นาง จักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในตำหนักอันวิจิตร เรืองรองไปด้วยเพชรทองมากมาย

แต่หาก หาความสุข อันใดมิได้


ก่อน อาณาจักร อันเรืองรอง จักต้องล่มสลาย


นาง ผู้ มี อาญาสิทธิ์ ไม่พอ พระทัย กับ การที่ สมเด็จรายา ตีตัวออกห่าง


นั่นก็คือ ที่มา ของ ความวิบัติ ฉิบหาย ทั้งปวง




ความหฤหรรษ์ เพิ่งจัก บังเกิด เมื่อ พระนางเจ้า องค์ ใหม่ 

เสด็จพระราชดำเนินไป ในการพระรายาพิธีรับ ตราประจำพระองค์


พระนางเธอ มีพระนามว่า




พระนางปัญจวาตี ศรีสว่างอารีฤทัยมาศ สมเด็จรานี

ใน สมเด็จพระรายาธิบดี องค์ที่ ๑๓ สมเด็จองค์อาทิตยวงศ์สะหวันปุระ


พระองค์ ทรงหลงใหลในพระนางเจ้า เป็นอันมาก

ทั้ง ๆ ที่ พระนางทรง มีส่วนรู้เห็น เป็นใจ แก่การลอบปลงพระชนม์

ในพระนางเจ้า องค์ก่อน


ซึ่งหาได้ มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ย ถึงเรื่องดังกล่าว

เพราะ เกรงต่อพระรายาอาญา จาก พระนางเจ้าองค์ใหม่ นั่นเอง


มิมี ผู้ใด โกรธ ไปกว่า พระนางเธอ ผู้มีนามว่า กังสตาลวตรีสรวล ผู้นี้ อีกแล้ว


พระนาง ทรงไม่ พอพระทัย เป็นอย่างยิ่ง ที่ สมเด็จรายา ทรงมิไป เยี่ยมเยียนนาง

เกินไปกว่า ๗ วัน ซึ่ง ปกติพระนาง จะได้ ทรงรับใช้ เบื้องพระยุคลบาท

ไม่เกินไปกว่า ๓ วัน


การ ครั้งนี้ เป็นการ หัก พระพักตร์ใน พระนางเธอ เป็นอย่างยิ่ง

ทำให้ พระรายาพิธี ครั้งนี้ เปี่ยม ไปด้วย ความอึมครึม แห่ง สงครามเย็น


เพราะ เหตุใด พระนางจึงรู้สึก หวั่นไหว กับเหตุการณ์ ครั้งนี้

หรือเป็น เพราะ นาง เกิด ติดกับดัก ที่เรียกว่า ความรัก

ใน สมเด็จรายา ผู้ มีเสน่ห์ ทั้งพระสิริโฉม แห่งความเป็นชายสมชาย

และพระรายาวาจา ที่ทรงเอื้อนเอ่ย ตรัส แก่ พระนางเธอ

ช่าง ทำให้ ใจอ่อนระทดระทวย

ทั้ง ที่ น้ำพระทัย ของพระนาง ได้หมด สิ้นไป เมื่อครั้งที่ พระนาง

ตบปากรับคำ ที่จะ ดำรง ตำแหน่ง เพศสิกขาคุรุ

แห่งราชวงศ์ องค์อาทิตย์ เมื่อ ๕๐๐ ปี ที่ผ่านมา


ความเสื่อม แห่ง มนตรา เริ่ม จากจุดนี้ นี่เอง


จากที่ ไร้ หัวใจ กลับ กลาย เป็น คนที่มี บ่อน้ำตา

เพราะ ใจเรา หวั่นไหว หาที่ยึดที่เกาะ มิได้

เพราะ เหตุ อันใด หนอ

ที่ ทำให้ เรา เป็น เยี่ยงนี้


เราตอบให้ ก็ได้

เหตุการณ์นั้น ล่วง เลย มา ตั้งแต่ สมัยกาล ก่อตั้งรายาวงศ์ แห่ง องค์อาทิตย์

มันก็ช่างแปลก ที่ สมเด็จพ่อ ใน สมเด็จรายา องค์ปัจจุบัน

ทรงตั้งพระนาม ใน พระองค์ ว่า สมเด็จเจ้าชายองค์อาทิตย์สุริยวงศ์เทวัญวิมารายาเธอ

ซึ่งไปคล้อง กับ สมเด็จพระรายา ผู้กอบกูอิสรภาพ มาแต่ แคว้น ปัญจวาตีศรีสุเทพอุทัย

และ ชื่อเมืองที่ ล่มสลาย นั้น ก็สอดคล้องแก่ พระนามกับ พระนางเจ้า พระองค์ใหม่


พระนางเจ้าปัญจวาตี ศรีสว่างอารีฤทัยมาศ สมเด็จรานี



เรื่องราว มันชัก จะเกี่ยวกัน ขึ้น ทุกขณะ

มันส์ พะยะค่ะ



ติดตามชม ใน ภาคี ถัดไป ได้ใหม่

ในชื่อ ตอน น้ำตา...นางพญา (๒)



(ช่วงเรื่องเล่า จาก ห้วงลึก)

โดย Winnie the ENG
























วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แผ่นดินนี้...ใคร..ครอบครอง

ไม่มี ใคร ที่ จะไม่มี วัน เดิน ลงเหว ถ้ารู้ว่า ข้างหน้า คือ หน้าผา (Cliff)

แล้วจะมีสักกี่คน ที่ล่วงรู้ ได้ หาก ทางที่เรา เดิน อยู่ เต็มไปด้วย หมอกควัน (Smog)

ที่คอยอำพราง (to hide) สิ่งไม่ดี ต่าง ๆ ที่พร้อม กระโจน ถาโถม เข้ามาใส่ เรา ตรงหน้า (in front of)

เพียงแค่ ตะเกียง (Lamp) เล็ก ๆ อันเดียว จะ พอ ที่จะ ทำให้เรา ตาสว่าง (Bright Eyes) ขึ้นมาได้บ้าง

ว่า จริง ๆ (Actually) แล้ว เรา กำลัง เดิน (Keep Walking) ไป ใกล้ ปากเหว แค่เอื้อม

ไม่มีทาง เลย แต่ เรายังโชคดี (Be Lucky) ที่มี เสียงกระซิบ (Whisper) ที่ดังมาจากใจ ว่า

ไม่มีทาง เลย ที่ จะ ก้าว (to walk) ต่อไป (Continuously)



ทุกอย่าง เป็นเพียง แค่ ความฝัน (Just a dream)

สุดท้าย(Eventually)  เรา ก็ต้อง เดิน ไป สู่ จุด จบ ที่น่า สยดสยอง (Horrible)


เพียง เพราะ เรา เป็น เจ้าของ (Owner) แผ่นดิน เลือด (Land of Blood) แห่งนี้


ความคิด จาก ห้วงลึก ครั้งสุดท้าย (Last Depth Thinking)

ใน สมเด็จรายาธิบดีที่ ๑๓ (สมเด็จองค์อาทิตยวงศ์สุหวันปุระ)

ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย  (to pass away) ณ ลานประหาร  ริมหน้าผาแอ่นสุวรรณ






ณ แผ่นดินทอง(Golden Land) เรืองรองอร่าม นามว่า สุหวันปุระ

มีเพียง ภูมินทร์ และ โฉมงาม เลื่องชื่อ ทั้งความสวย (beautiful) และความโหดเหี้ยม

ทั้งสองครองคู่ กันอย่าง พิสมัย วิไลศักดิ์


ส่วน ณ สุวราลัยปุระ ไกลโพ้นทะเล (Oversea)

องค์อินทราภิรมย์ ได้มาเห็น แม่หญิงงามเมือง เลืองนาม (famous) กระฉ่อน ไปทั่ว กรุง ไกร


ทั้ง ๆ ที่นางนี้ นามว่า กิลกาลาวดี ก็อยากจะ แย่ง นาง ไปครอบครอง (to occupy) แต่ถ่ายเดียว



ขณะ ที่ พา น้องนาง โฉมตรู นางนี้ กลับ เมือง เรือกลับล่ม ใกล้ ๆ นครสุวรรณปุระ นั่นเอง

โชค ดี ที่ นาง นั่น ชะตา (Fate) มิต้อง กับ ยมบาล

แต่ฝ่าย ท่าน ท้าวเธอ กลับต้อง สังเวย(to sacrifice) แก่ ท่านท้าวพญายมราช


ก็บอกแล้ว ว่า นางเป็น หญิง กาลากิณี


นาง นั้น ถูกช่วยเหลือ (Be Rescued) โดย ขันที (Eunuch) ที่ รับใช้ (to serve) เบื้องพระยุคลบาท

ท้าวเธอ แห่ง มหานคร (Metropolis)อัน เรืองนามแห่งนี้



นาง ถูกนำตัว ไป ถวาย (to give) เป็น นางข้าไท (Servant) ใน พระตำหนัก (Palace)

องค์มหารานี มารตีศรีพิสุทธิ์  

พระนางเธอ ใน สมเด็จพระรายาธิบดี แห่ง มไหศวรรย์รมณียสถาน

(เสด็จสู่สวรรคาลัย) (to pass away)


พระนาง นั้น เป็น พระมารดา (Mother) ของ องค์รายา องค์ ปัจจุบัน (Nowadays) นี้เอง

พระนาง ทรงเจริญพระชันษาที่ ๗๐ พรรษา แต่พระพักตร์ (Face)

กลับเหมือนสาวงาม ยามแรกแย้ม (Baby Face)

เพราะ พระนาง ทรงดื่ม (to drink) เลือดเด็ก ทารก (Infant) ทุก ขึ้น ๑๒ ค่ำ

นี่คือ เหตุ (Cause) อย่างหนึ่ง ที่นำไปสู่ (to cause) จุดจบ(Ending) แห่งมหานคร อันเรืองนาม

ที่ชื่อว่า สุหวันปุระ



เมืองแห่งนี้ ยังมีความลับ (Secrets) ให้คุณ มาติดตาม (to follow) อีกมาก




(ช่วงเรื่องเล่า จาก ห้วงลึก)

โดย Winnie the ENG

การเดินทาง...สู่สันติภาพ...ยังไม่ไปไหน

หัวใจที่โดดเดี่ยว นำเราไปค้นหา คำว่า การเดินทาง (Journey) ค้นหา (to discover)  อะไร บางอย่าง

ความเป็นตัวตน (อัตลักษณ์) (Individualization) ที่เราเองก็

เข้าใจผิด (to misunderstood) มาโดยตลอด  ว่ามัน เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ทางจิตใจ (soul)

เข้าใจผิด ว่ามันคือ ความเที่ยงแท้ จีรัง ยั่งยืน (sustainable)

แต่ แท้จริง (actual) แล้ว เราล้วน เดินทางผิด มาตั้งแต่ต้น หรือ อาจจะเรียกว่า หลงทาง (lost the way)

แต่สุดท้าย เรา ก็ยัง (still) ไปได้ ไม่ไกล กว่าเดิม ที่เรา เดินทาง ออกมา (to leave)

จากจุดเริ่มต้นเดียวกัน (same starting point)

แต่เรา ก็ต่างกันมาก ทั้งความคิด (idea) และ ความเข้าใจ (understanding)

ในสิ่งเดียวกัน (same thing)

ไม่ผิดที่ เรา คิดต่างกัน แต่มันแปลก(strange) ตรงที่ เรามาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน

แล้วทำไม เรา จึงต้อง แตกแยก (to split) กันด้วย

จริง ๆ แล้ว เพราะ เรา จาก (to leave) กันมานานเกิน ไป นั่น เอง

ที่ทำให้เรา ลืม (to forget) ต้นกำเนิด (derivation)



เรา ทะเลาะ (to quarrel ) กัน เพราะว่า เรา ลืม ไป ว่า เรามาจาก เทือกเถา เหล่ากอ เดียวกัน

เรา จาก กัน มานาน (too long) เกินไป แล้ว

เรา ควร นึก ดู ให้ดี ว่า เราเป็น คน คนเดียวกัน

เรา ทำไม ต้อง ตัดเนื้อ เฉือนหนัง ตัวเอง (me myself) ได้ลงคอ

เรา สุดท้ายก็ต้องกลับ ไปรวมกัน ณ จุดที่เรา เคยรวมกันมาก่อน


จงหยุด ทำร้าย ตัวตนที่แท้จริง ของเรา อีกเลย



(ช่วงธรรมพาที)
โดย Winnie the ENG

ปล. ให้เข้ากับช่วง เข้าพรรษาหน่อย อาจจะดู ลึ้งซึ้ง ในรสพระธรรม ไปหน่อย

แต่รับรอง (to confirm) ว่าจะสอดแทรก คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ให้เหมือนเดิมครับ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Welcome to Winnie the ENG

เราต้องการนำเสนอการเรียน ภาษาอังกฤษ แบบเก่าที่นำมาเสนอใหม่

ในรูปแบบ การเรียน ที่เริ่มจาการ มองเห็น ตามมาด้วย การจดจำ นั่นเองครับ

การเรียน บางครั้ง หากมี ผู้ปกครอง คอยเรียนรู้ ไปกับ น้องๆ หนู ๆ ด้วย

ก็จะทำให้ เกิดความเข้าใจ เร็ว ขึ้นอีกมาก ครับ

แถมยัง สร้างความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในครอบครัว อีกด้วยครับ




ขอให้มีความสุข
Winnie the ENG

------Load File------

Why PPT English ?

จาการเรียนที่เป็น นักศึกษา ทางด้าน ภาษาจีน (Mandarin Chinese)

จึงเกิด ความคิด (Idea) ที่ว่า เราเริ่มเรียน ภาษาจีน ด้วยวิธี ไหน

ที่ทำให้ เรา มีอารมณ์ (Feeling) ไปกับ ภาษาจีน ที่ ไม่ใช่ ภาษาแม่ (Mother Language)

อย่างแรก จุดยาก (Difficulty) ของ ภาษาจีน คือ ต้อง จดจำ (Memory) ตัวอักษร (Character)

แต่ มัน ยาก (Hard) ที่เรา จะ จำ ตัวอักษร ยึกยือ ยั้วเยี้ย วุ่นวาย

ได้ในระยะเวลาอันสั้น (Limited Time)

แต่ ก็ มี ความง่าย (Easy) ในตัวอักษรนั้น 


เพราะ ภาษาจีน เป็นภาษาแบบ Pictography

หมายถึง ภาษาที่มี รากฐาน (Base) มาจาก รูปภาพ (Picture)

ตาม ภาษาอังกฤษ (English Language) ที่ฝรั่ง (Foreigner) ใช้ นั่นเอง ครับ



นี่แหละ จึงเป็นที่มา (Derivation) ของ PPT English นี่เอง



PPT English (Pictures Presentation Tactic English)

ใช้ รูปภาพ อธิบาย (to Explain) หรือ สื่อ (to Communicate)

เป็นส่วนใหญ่ (Majority) และมีเพียง คำศัพท์ (Vocabulary)

เป็นตัวบอกเล่า (Indication) ความหมาย (Meaning) ของคำศัพท์ นั้น ๆ




ขอให้มีความสุข
Winnie the ENG



----Load Lesson----

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

PPT English

โดย  winnietheeng@hotmail.com
การเรียน แบบ Pictures Presentation Tactic English (PPT English)

เป็นการเรียน ที่ เน้น การจดจำ จากการ มองเห็น รูปภาพ

ด้วยระยะเวลา อันสั้น แต่ ผู้เรียน เข้าใจ และจดจำได้ง่าย

ง่ายกว่า การเรียน ที่ เน้น จดจำ ตัวอักษร

เราเปลี่ยน มา เริ่ม เรียนรู้ ที่ รูปภาพ

จากนั้น ค่อย ๆ เข้าใจ ว่า รูปภาพ นั้น สื่อ ถึง สิ่งใด

และ เกิด ความทรงจำ ที่ ถาวร 






ขอให้มีความสุข
Winnie the ENG




----Load File----



---Load Lesson---