วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

โศกาพักตร์

โศกาพักตร์

โดย อินทร์คำ อินทร์ทัศน์
แนว ผจญภัย

1

ณ วังเก่าแห่งหนึ่ง
มีปราสาทหลังหนึ่ง แอบซ่อนอยู่ในป่ารกชัฏ
ณ ปราสาทแห่งนั้น มีสิ่งเร้นลับที่ซ่อนเรื่องราวของใครคนหนึ่งที่กำลังรอคอยการกลับมาของชายคนรัก

ณ บ้านนักโบราณคดีคนหนึ่ง
เขามีชื่อว่า อติภพ กำลังนอนหลับอยู่ในห้องพักของเขา เขาหลับด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางบุกป่าฝ่าดง เพื่อเข้าไปสำรวจแหล่งโบราณคดีแห่งใหม่
และฝันไปว่า กำลังฟาดฟันอยู่กับอริราชศัตรูอย่างเมามัน จนลืมมองด้านหลัง เขาจึงโดนดาบของศัตรูฟันเข้าที่ด้านหลัง แต่โชคยังดีที่เพื่อนรักของเขาเข้ามารับดาบไว้ได้ทัน
สุดท้าย ฝ่ายพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ และทำให้ศัตรูหนีพ่าย แต่ได้หารู้ไม่ว่า มีกองกำลังดักสุ่มโจมตีอยู่ที่ใกล้กับประตูเมือง ขณะที่เขาจะเดินเข้าสู่เมือง ก็มีคนที่ดักซุ่มระดมยิงธนู เข้ามาที่พวกของเขา จนเขาโดนยิงด้วยธนู แต่เขาก็สามารถหลบหนีเข้าสู่เมืองได้อย่างปลอดภัย

ณ ประตูวังหลวง
องค์หญิงพักตร์พิลัย ออกมารับขุนพิทักษ์พลด้วยพระองค์เอง พร้อมกับสั่งให้หมอหลวงรีบทำแผลให้กับผู้ที่บาดเจ็บ รวมถึงท่านขุนพลเป็นอย่างดี
ขณะที่หมอหลวงกำลังผ่าหัวธนูออกจากร่างกายของท่านขุนพล

ทันใด นั้นเอง
อติภพก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อท่วมกาย
เขารีบคลำหาบาดแผล เพราะยังรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก
ปรากฏว่า แผลที่เขารู้สึกเจ็บอยู่ในขณะนี้ เป็นแผลเป็นที่เกิดจากเหตุการณ์อุบัติเหตุเมื่อเขายังเป็นเด็ก

เย็นวันหนึ่ง ในห้องทำงานของ อติภพ
อติภพ มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เขามองดูฝนที่กำลังตกอย่างหนัก เขากำลังคิดใคร่ครวญถึงฝันที่เกิดขึ้น
เขาคิดกับตัวเองว่า ทำไมรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์นั้น
เขารู้สึกผูกพันกับหญิงสาวในฝันนั้นเหลือเกิน


ณ วังร้าง
หญิงสาว (องค์หญิงพักตร์พิลัย) นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
เธอมีความสุขที่ได้นึกถึงขุนพิทักษ์พล (ปัจจุบัน คือ อติภพ) ยามที่เธอและเขาได้อยู่เคียงข้างกัน แม้วันเวลาที่ผันผ่านจะเนิ่นนาน ซักเพียงใด แต่เธอก็ยังรักเขามิเสื่อมคลาย ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่ห่างไกลกัน เหมือนกับอยู่คนละภพ
ความรักนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ ทำให้จิตวิญญาณที่ถูกกักขัง ยังพอจะมีความหวัง
บ้าน อติภพ

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
อติภพรับสาย แล้วจึงรีบร้อนแต่งตัวเพื่อไปพบกับหัวหน้า และรับทราบหน้าที่นำทางกองสำรวจป่าทึบแห่งหนึ่งที่ ชาวบ้าน เคยขุดเจอของใช้สมัยโบราณ ใกล้เทือกเขาดงพญาไฟ
โดยคณะสำรวจ มีกลุ่มนายทุน ที่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณแทบนั้นเป็นอย่างดี เดินทางติดตามไปสำรวจด้วย เขาชื่อ นายสุชาติ มีเกียรติ
ประวัติของนายทุนผู้นี้ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก


ยามเย็น 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง

อติภพก็ฝันประหลาดอีกแล้วว่า เขาแต่งกายด้วยชุดนักรบสีทองอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้กับหญิงสาวนางหนึ่ง เธออยู่ในชุดโบราณของชนชั้นสูง เธอสวมมงกุฎประดับไปด้วยเพชรพลอยสวยงาม
เขาและเธอทั้งสอง กำลังสบตากัน ด้วยความอาลัยอาวรณ์สนิทเสน่หา
เขากล่าวกับนางว่า “ข้าพระองค์ แต่องค์หญิงพักตร์พิลัย หม่อนฉันจักต้องห่างจากพระองค์สักช่วงเพลาหนึ่ง เพื่อที่จะไปปฏิบัติซึ่งพระราชประสงค์แห่งองค์จักรพรรดิราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงรักษาพระวรกายด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
องค์หญิงทรงกล่าวอวยพรแด่ท่านขุนพลว่า”เราขออวยพรให้ท่านจงมีชัยเหนืออริราช ศัตรู ภัยใด ๆ จงอย่ามาก้ำกลายท่าน ผู้อันเป็นที่รักยิ่งแห่งเรา”
ก่อนจากกัน องค์หญิงพักตร์พิลัยทรงมอบแหวนทรงดอกพิกุลที่พระราชมารดา ทรงมอบแด่พระองค์ในวันพระราชสมภพ ขณะทรงพระชนมายุได้ 15 ชันษา
แหวนวงนี้ อาจจักนำพาอติภพไปสู่การผจญภัยในอีกมิติหนึ่งอันเร้นลับก็เป็นได้

2

ณ ห้างสรรพสินค้า
รุ่งเช้า อติภพ ต้องไปซื้อของใช้ที่จำเป็น เพื่อใช้สำหรับการเดินทางครั้งใหม่ ณ ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
ขณะที่ เขากำลังเลือกซื้ออาหารแห้ง เขาเอื้อมมือไปหยิบกาแฟชงสำหรับรูป พลันกับมีมือของผู้หญิงคนหนึ่งมาหยิบกาแฟห่อนั้นเหมือนกับเขา
เธอมีชื่อว่า กมลเนตร หรือ เนตรวลัย ในอดีต
เมื่อมือของเขาและเธอมาชนกัน ภาพเหตุการณ์ในอดีต ก็แล่นเข้ามาในหัวของคนทั้งสอง อย่างพลั่งพลู และเป็นฉากเป็นตอน

ฉาก วังหลวง ตำหนักใน ของ พระสนมเอก
ภาพฉายให้เห็นอดีตของ กมลเนตร ซึ่งในอดีต
เธอคือ พระราชธิดา ของพระสนมเอก พระองค์หนึ่ง ในท้าวแสนคำลือวงศ์ศิวะพักตร์ พระธิดาเนตรวลัย ทรงเป็นพระเชษฐภคินีเธอ (พี่สาว) ขององค์หญิงพักตร์พิลัย พระองค์ทรงไม่ค่อยพอพระทัย พระน้องนางเพราะ ไม่มีสิทธิ์ในบางสิ่ง จึงรู้สึกด้อยพระองค์กว่า ทุกชั่วขณะของความคิด แม้แต่ยามจะสิ้นพระชนม์ชีพ
ทำให้พระธิดา เนตรวลัย มีนิสัยอิจฉาริษยา และนิยมชมชอบในเรื่อง คุณไสยและมนตรามหาเสน่ห์
พระมารดาคือ พระสนมเอก ทรงพระนามว่า กัญญาณีศรีวลัย
พระนางมีคุณท้าวคนสนิท ชื่อว่า คุณท้าว ชดช้อยโสภา
โดยคุณท้าว นางนี้เก่งกาจทางด้านวิชาอาคมทางอวิชชา เป็นอันมาก และจะมีความเกียวข้องกับการล่มลสลาย แห่งมหานครอันเลื่องชื่อลืมนามที่ว่า มหานครศิวะพักตรา มีเมืองหลวงว่า ศิวะโลกาปุระ

ชายหนุ่มและหญิง รีบเอามือออกจากกัน
ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าท่าทางแปลกประหลาดใจเป็นอันมาก ในใจทั้งสองคนคิดว่า สิ่งที่ผ่านเข้ามาในหัวสมองนั้นคือ เรื่องจริง หรือแค่ฝันไป
เมื่อตั้งสติได้ ต่างกล่าวคำขอโทษแก่กัน และต่างคนต่างรีบเดินหนีออกจาก ที่แห่งนั้น แต่ไม่เลย ในใจกลับคิดถึงแต่ความทรงจำที่แล่นเข้ามาเพียงชั่วเสี้ยววินาที แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย และเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เหมือนกับเรื่องราวต่าง ๆนั้นย้อนกลับมาฉายซ้ำให้ดูอีกรอบหนึ่ง


3

วันเดินทางมาถึงไปสู่อดีตมหานครอันเรืองนาม ศิวะพักตรา

เมื่อทุกคนมาพร้อมกันที่ กองประวัติศาสตร์ กรมโบราณคดี อติภพถูกได้รับการแนะนำตัวต่อผู้ร่วมติดตามในการผจญภัยครั้งใหม่นี้ รวมถึง นายทุนผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ และลายแทงตำแหน่งที่แน่ชัดแก่อติภพ และคณะสำรวจฯ
เขาแท้ที่จริงก็คือ พี่ชายของ กมลเนตร ที่อติภพ เจอหล่อนในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อน เขาชื่อว่า กมลเดช นามสกุล ชดช้อยโสภา
ชดช้อยโสภา ชื่อนี้ช่างน่าคุ้นเคยเป็นอันมากในความคิดของอติภพ แต่เหตุการณ์ก็ยังลางเลือนและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูกต้องครบถ้วน

ช่างน่าบังเอิญ หรือโชคชะตากลั่นแกล้งให้บุคคลเหล่านี้กลับคืนสู่มหานครอันเกรียงไกร อันมีนามว่า มหานครศิวะพักตรา

ความจริงแล้ว ไม่น่าแปลกที่นายกมลเดช เพราะสืบเชื้อสายมาจากคุณท้าวชดช้อยโสภา แม่มดหมอผีคู่กายของอดีตพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย จึงย่อมจะมีสิทธิ์ในลายแทงมหานครแห่งขุมทรัพย์ ศิวะพักตรา เป็นธรรมดา
แค่นั้นไม่พอ เขายังเคยเดินทางไปที่นั่นมาแล้ว เมื่อยามยังเป็นเด็กมาก จึงไม่สามารถจดจำเรื่องราวอันใดหรือ เส้นทางไปสู่มหานครแห่งนี้ได้เท่าใดนัก จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประการณ์ในการเดินสำรวจแหล่งวัตถุโบราณมาอย่างโชกโชน อย่างอติภพ และคณะสำรวจฯ ของเขา





4

ครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว

อติภพ เคยเดินทางไปสำรวจแหล่งโบราณคดีที่เกือบจะเข้าสู่มหานคร ศิวะพักตรา แต่เขาและคณะสำรวจกลับไม่พบรองรอยแห่งประวัติศาสตร์ของมหานคร ที่เคยมีชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ ในอดีต ณ ดินแดนแถบที่เขาเข้าไปสำรวจ
เขาได้พบกับ พรานที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับคติความเชื่อ และความเป็นมาของมหานครศิวะพักตรา และขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ยึดหลักปฏิบัติเดียวกันกับครั้งยังเรืองนาม อาทิเช่น การแสดงในงานบวงสรวงเจ้าบ้านเจ้าเมือง แต่ก็อาจจะลดระดับลงมาเหลือแค่การบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา เพราะความเป็นเมืองนั้นหายไปไหนไม่มีใครทราบ
กลับเหลือเพียงชนเผ่าที่เคยอยู่ภายใต้อาณัติการปกครองของมหานคร ศิวะพักตรา อย่าง ชนเผ่าซากิ ที่ยังคงเครื่องแต่งกายของชนชั้นขุนนางในราชวงศ์ศิวะพักตรา ยุคสุดท้าย ไว้ให้กับผู้ปกครองเผ่าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ในงานพิธีการสำคัญๆ เช่น งานขึ้นปีใหม่ งานทำบุญให้กับเจ้าป่าเจ้าเขา
หรือเผ่า มูซาซาร์ ที่เมืองศูนย์กลางการปกครองของชนเผ่า มีฐานะเป็นชนเผ่าประเทศราช ของมหานครแห่งนี้ ก็ยังคงเก็บรักษา เครื่องประดับที่มีลักษณะใกล้เคียง หรืออาจจะเหมือนกับ เครื่องประดับแห่งองค์ราชินี องค์สุดท้ายเคยใช้ แต่ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้ใช้อีกเลย เพียงแต่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประจำชนเผ่า มูซาซาร์ เท่านั้น
ผู้เฒ่าประจำเผ่ามูซาซาร์ มีนามว่า เชตวัฒน์ สืบเชื้อสายมาจากปุโรหิตแห่งมหานครอันเรืองนามที่มีชื่อว่า ศิวะพักตรา นามว่า ท่านปุโรหิตเชตวุทธ ซึ่งมีความชำนาญทางด้านโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์เป็นอันมาก และท่านเป็นผู้เก็บรักษาตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา แห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ ราชวงศ์สุดท้ายก่อนล่มสลาย หายสาบสูญไปจากแผ่นดินเดิม
อาณาจักรศิวะพักตรา ยุคสุดท้ายถูกปกครองโดยมหาราชินี พระนามว่า พระนางหน่อเจ้า สุชาวดีศรีศิวะพักตร์ รายละเอียดต่าง ๆ ได้รับการเล่าต่อและสืบทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนมาถึงท่านผู้เฒ่า เชตวัฒน์
ผู้เฒ่าประจำเผ่ามูซาซาร์ ได้ให้ข้อมูลแก่อติภพอย่างละเอียด และด้วยความเอ็นดู ท่านผู้เฒ่าได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่เขา แต่เขากลับรู้สึกว่า เหมือนมันเคยเป็นของเขา หรือของใครสักคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออก
อติภพ เพิ่งจะมาสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า ตั้งแต่เขาได้รับมอบแหวนโบราณวงนี้มาไว้กับตัว เขาก็ใส่มันตลอดเวลาราวกับว่าจะขาดมันไม่ได้เสียแม้แต่วินาทีเดียว เขาฝันติดต่อกันเป็นเรื่องราวจนเหมือนกับหลุดเข้าไปในดินแดนโบราณที่มีฉากหลังอันสวยงาม แต่ก็มีความน่าสะพรึงกลัวแอบแฝงไว้ในนั้น


5

ณ หมู่บ้านซากิ หมู่บ้านที่ใกล้ชานเมืองมากที่สุด
คณะเดินทางวางแผนว่าจะเตรียมความพร้อมที่ปากทางเข้าป่า ซึ่งทุกคนได้รับการฝึกฝนการใช้ชีวิตในป่ามาเป็นอย่างดี แต่ก็อาจมีบางเหตุการณ์ณืที่ไม่คาดฝันบังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น อติภพ
ในฐานะหัวหน้าคณะสำรวจฯ จึงซักซ้อมความพร้อมเพรียงอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้ผู้หญิงเดินทางไปเลยแม้แต่คนเดียว เพราะการเดินทางครั้งอาจจะเรียกว่า เดิมพันด้วยชีวิต มีบางจุดที่เขาและคณะสำรวจยังเดินทางไปไม่ถึง
อาจจะเพราะขาดความรู้เกี่ยวกับเส้นทางที่แท้จริงของมหานครศิวะพักตรา และความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการหายไปของมหานครอันยิ่งใหญ่ที่กินอาณาบริเวณหลายล้านตารางกิโลเมตร แต่กลับไม่เหลือร่องรอยทางโบราณคดีแลยแม้แต่น้อย
การมาครั้งนี้ หากไม่ได้รับการไหว้วานจากหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ กรมโบราณคดี เขาจักไม่มีวันมาเลย แต่ในใจก็อยากลองพิสูจน์ให้เห็นดูสักครั้งหนึ่งว่า ชีวิตนี้จะสามารถค้นพบ สิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้หรือไม่ แม้แต่นครอันเกรียงไกรที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยดุจเดียวกับ มหานครศิวะพักตรา


6


ณ ค่ำคืนนั้นเอง ที่ใจเริ่มสื่อถึงใจ แต่ในแง่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าใดนัก
อยู่ ๆ แหวนของอติภพก็เรืองแสง แต่เขากลับหลับอยู่ภายใต้ภวังค์แห่งความมืดมิด ยามราตรีกาล ที่ท้องฟ้าก็ช่างเป็นใจให้การพักผ่อนช่างแสนมีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
เขาลืมตาตื่นพร้อมกับ ความสะลึมสะลือ แต่หาได้ตื่นจากนิทราไม่
เขากำลังหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางความฝันที่ก่อเค้าลางความหายนะแห่งชีวิตของผู้คนที่โชคชะตานำพาให้มาเกี่ยวข้องกันไม่จะชาติก่อน หรือชาตินี้ ไม่มีอะไรต่าง แต่ไม่เหมือนแค่สถานะทางสังคมที่เป็นก็แค่นั้น อย่างอื่นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เพียงรอการกลับมาของผู้คนที่เคยเกี่ยวพัน ทางสายเลือด และทางสังคมการเมือง การปกครอง ภายใต้มหานครอันเรืองนามว่า ศิวะพักตรา


3 เดือนก่อน องค์หญิงพักตร์พิลัย ขึ้นครองราชย์

ณ ห้องนั่งเล่น ของคุณท้าวชดช้อยโสภา ผู้มีเบื้องหลังเป็นนางแม่มดหมอผี
หล่อนนั่งอยู่บนอาสนะหนังหมี ด้านข้างของนางคือ พระธิดา เนตรวลัย และพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย
ทั้งสาม กำลังประกอบพิธีกรรม เพื่อจุดประสงค์อันใดกันหนอ


ณ สวนดอกไม้

ยามค่ำคืน นางต้นห้องของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย มาทำการอันใด ณ ที่แห่งนี้ ท่าทางก็ช่างดูลับ ๆ ล่อ ๆ
เธอกำลังจะลอบหนีออกจากวังหลวง ทางด้านทวารบานหลังวัง
เธอจักออกไป เพื่อทำการสิ่งใดกันหนอ

แท้ที่จริง
นางต้นห้องของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย ลักลอบออกจากพระตำหนักฝ่ายใน เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ที่นางได้รับมอบหมายมาจากพระสนมเอก พระนางทรงดำริการมิบังควร คือ การลักลอบทำเสน่ห์ยาแฝก
แต่พระนางทรงทำการนี้เพื่อใคร และเพราะเหตุผลกลใด

ความจริงนั้นไซร้
คือ พระธิดาเนตรวลัย ทรงมีใจให้กับ ขุนพิทักษ์พล มาเป็นเพลาช้านานแล้ว
แต่ด้วยความต่างในฐานันดร ที่หญิงสูงศักดิ์ จักลดองค์ลงมาเกลือกกลั้วกับ ชายที่ต่ำศักดิ์กว่านั้น มิควรเกิดขึ้น
แต่หาก พระน้องนาง อย่างพระธิดาพักตร์พิลัย กลับทรงมิไยดีต่อคำครหานินทา ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งพระยศ พระมหาอุปราชินี ซึ่งมีราชสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองได้ด้วยองค์เอง
ผิดกับพระราชธิดาที่มีพระประสูติกาลแต่พระสนมเอก เฉกเช่นเดียวกับพระธิดาเนตรวลัย ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระสนมเอก กัญญาณีศรีวลัย
ถึงแม้พระธิดาเนตรวลัย จะทรงเป็น พระพี่นาง แต่ก็มิอาจปฏิบัติองค์ เช่น พระน้องนาง พักตร์พิลัย ได้ ความรู้สึกเช่นนี้ ช่างกดดัน พระธิดา เป็นยิ่งนัก
แต่เหตุผลหลักนั้นไซร้ก็คือ ขุนพิทักษ์พล มิเคยมีใจตอบกลับมาให้องค์หญิง เนตรวลัย แม้เพียงสักเศษเสี้ยวของหัวใจเลย
หัวใจทั้งเต็มดวงของท่านขุนพล ได้มอบให้กับ พระธิดาพักตร์พิลัยไปหมดสิ้น อย่างไร้ข้อกังขาอันใด ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงเนตรวลัย จึงจักต้องดำเนินแผนการที่วางไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี





จวนพิทักษ์พล
ใต้ถุนบ้าน ในจวนขุนพิทักษ์พล
นางข้าหลวงคนสนิทของ พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย ได้นำตุ๊กตาคู่รักผูกด้วยสายสิญจน์สีแดงเลือดนก ซึ่งได้รับการประกอบพิธีกรรมมากว่า 199 วัน
และในค่ำคืนเดือนแรม 9 ค่ำ เดือน 9 นี้ จักเป็นวันชี้ชะตาของ พระธิดาทั้งสอง ว่าใครจักได้ครอบครองตัวของท่านขุนพล

พิธีกรรมได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
ส่วนนางข้างหลวง นางนั้น ก็ลักลอบเข้าไปจนถึงใต้ถุนบ้าน ในจวนขุนพิทักษ์พล นางนำตุ๊กตาไปฝังไว้ ณ โคนเสาใต้ห้องนอนของท่านขุนพล


ชานเรือน จวนพิทักษ์พล
ขุนพิทักษ์พล กำลังนั่งอยู่ที่ชานเรือน เขาเหม่อมองออกไปที่สระดอกบัวหลวง หน้าจวน เขามองดูพระจันทร์ที่ลอยอยู่ในน้ำ
ทันใดนั้น ก็มีลมหวน พัดมาที่ใบหน้าของเขา เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ คล้ายกับจะเป็นลมหมดสติ
นางข้าไทนางหนึ่ง เห็นดังนั้น จึงรีบเข้ามาประคองท่านขุนพลด้วยตระหนกตกใจ
มิช้านานเท่าใดนัก ท่านขุนพลก็รู้สึกตัว แต่เขากลับมีแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่แสดงถึงความมุ่งมั่นเยี่ยงชายชาติ นักรบ กลายเป็นดวงตาที่ไร้แววดั่งซากศพ
เขาโดน เข้าให้แล้ว อย่างจัง ด้วยอำนาจแห่งมหามนตร์ดำของคุณท้าวชดช้อยโสภา ที่นางเรียกว่า มนตราสิเหน่หาผูกรัดมัดใจ
ความหายนะกำลังคืบคลานมายังนคราแห่งนี้ อย่างที่ทุกคนมิได้ตั้งตัว


เมื่อ พระธิดาเนตรวลัย ทราบความจากนางข้าหลวงคนสนิทของพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย พระมารดาของพระองค์ ได้ทำการสำเร็จแล้ว ในค่ำคืนนี้ ขอให้พระธิดาทรงได้ปฏิบัติการขั้นต่อไป ตามที่ได้วางแผนเอาไว้
พระธิดาเนตรวลัย ปลอมพระองค์เยี่ยงสามัญชน ปกคลุมพระพักตร์ด้วยผ้าไหมสีหม่น ทรงพกน้ำอบหอมที่ปรุงจากว่านมหาเสน่ห์ 108 อย่างที่ได้มาจากคุณท้าวคนสนิท

ห้องนอนของขุนพิทักษ์พล ในจวนพิทักษ์พล
บัดนี้ พระธิดาเนตรวลัย ทรงอยู่ในอ้อมกอดของชายอันเป็นที่รักยิ่ง ซึ่งก็คือ ขุนพิทักษ์พล ยอดขุนศึกแห่งราชอาณาจักรศิวะพักตรา
พระองค์จักมิทรงยอมให้ผู้ใดแย่งชายผู้นี้ไปครอง แม้แต่ พระน้องนางพักตร์พิลัย

ณ ท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่แห่งวังหลวง
แต่เหตุการณ์กลับแปรผัน ไม่เป็นอย่างที่พระธิดาเนตรวลัย ทรงคาดการณ์ไว้
ในท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่ ข้าราชบริพารในท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง
ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ ทรงมีพระราชโองการให้ทราบทั่วกันเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสระหว่าง พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย และ ขุนพิทักษ์พล อันเป็นเรื่องมหามงคลยิ่งแล้ว ทำให้เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างเห็นพ้องยินดีตามพระราชโองการดังกล่าว
แต่การมีพระกระแสรับสั่งดังกล่าว ยังความโกรธแค้นแก่พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย และพระธิดาเนตรวลัย อย่างหาที่จะสุดประมาณ
มิหนำซ้ำ ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ ทรงมีหมายกำหนดงานพระราชพิธีมหามงคลภายในเพลา 3 เดือนที่จะมาถึงนี้ หากแต่พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัยจักต้องผ่านงานราชาภิเษกก่อน


ตามกฎมนเทียรบาล จักต้องอัญเชิญเครื่องสูงอันเป็นเครื่องหมายแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ อันได้แก่ ตราประทับประจำพระองค์ หยกศิวะพักตรา และ ตราประจำเมือง หยกศิวะมันตรา ลงมาจากหอคอยประจำเมือง มาประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
โดยผู้ที่อัญเชิญเครื่องสูงทั้ง 2 สิ่ง คือพระคู่หมั้นแห่งองค์อุปราช และพระโอรสหรือพระราชธิดาที่มีพระประสูติกาลแต่พระสนมเอก ตามลำดับ
ก่อนถึงวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก บุคคลผู้มีหน้าที่ทั้งสอง จักต้องรักษาศีล 8 อยู่บนหอคอยประจำเมือง พร้อมเหล่าพราหมณ์ปุโรหิต ผู้ประกอบพระราชพิธีดังกล่าว
ด้วยอำนาจแห่งศีลบริสุทธิ์ ทำให้ไสยเวทย์มนตร์ดำของคุณท้าวชดช้อยโสภาถูกสะกดไปชั่วเพลาหนึ่ง ตลอดเพลาที่ท่านขุนพิทักษ์พล ยังคงอยู่ในอุโบสถศีล ความชั่วจักต้องเป็นรองความดี

ห้องบรรทม พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย ในวังหลวง
เมื่อถึงวันงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาถึง พระมหาอุปราชินี ทรงสวมฉลองพระองค์สีทองงามอร่ามเรืองรองไปทั่วพระองค์ ทรงสวมมงกุฎประดับอัญมณีหลากสี แต่ตรงกลางเด่นสุดคือ เพชรสีน้ำเงิน รูปหยดน้ำ อันหมายถึง พระองค์ทรงเป็นขัตติยนารี โดยสายพระโลหิตแท้ ที่สืบสันตติวงศ์ มาอย่างยาวนานกว่า 700 ปี


ตามตำนานเมืองกล่าวไว้ว่า ของล้ำค่าทั้ง 2 สิ่งจักต้องเคียงคู่กัน บนหอคอยประจำเมือง แต่เมื่อถึงงานพระราชพิธีสำคัญ จักมีการนำตราส่วนพระองค์ของ พระมหากษัตริย์และพระมเหสี ไปประดิษฐานไว้แทนที่ เพื่อเป็นการแก้เคล็ดตามตำนานเมืองที่ว่า พระแท่นทั้ง 2 แห่งจักว่างเว้นสิ่งสูงค่าประจำเมืองมิได้ หากเป็นเช่นนั้น ประตูเมืองที่มีไว้เพื่ออำพรางศัตรูและประตูจริงจักสลับที่กัน ทั้งคนนอกเมืองและในเมืองจะสับสน ผู้คนทั้งหลายจักหาทางเข้า-ออกมิมีวันเจอ
แต่ก็มิมีผู้คนกล้าเสี่ยงทำการอันมิบังควรนั้น เพราะการเคลื่อนที่ของประตูอำพรางนั้นมีผลถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน กล่าวคือ พระองค์จักต้องกลายเป็นศิลาที่รอวันลบล้างคำสาป

ในท้องพระโรง พระตำหนักใหญ่
พระมหาอุปราชินี พักตร์พิลัย ทรงประทับอยู่ให้ร่มพระมหาเศวตฉัตร ท้าวแสนคำลือศิวะพักตร์ พระราชบิดา แล พระมเหสีจิตราพรเลิศพิลัย พระราชมารดา ทรงประทับอยู่เบื้องขวา พระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย แล พระราชธิดาเนตรวลัย พระเชษฐภคินีเธอ ประทับอยู่เบื้องซ้าย ขุนนาง แลข้าราชบริพารทั้งหลาย นั่งขนาบทั้งสองข้างตามทางลาดพระบาทสีแดงเพลิงจากประตูเข้าท้องพระโรงอัน โอ่อ่าหรูหราสวยงาม จนถึงพระแท่นมหาเศวตฉัตรอันทรงเกียรติ

ในใจของพระราชิดา เนตรวลัย จักโดนไฟสุมทรวง อกร้าวระทมเกินกว่าจะทนได้ แต่ด้วยทรงมีขัตติยมานะ ยิ่งแล้ว จึงต้องทำหน้าที่ให้ถึงพร้อม

ขึ้นเสวยราชสมบัติ

พระมหาอุปราชินี ทรงผ่านการพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณีและกฎมนเทียรบาลทุกประการ มิมีขาดตกบกพร่องแม้ประการหนึ่ง
ทรงมีพระนามใหม่ว่า พระนางหน่อเจ้า สุชาวดีศรีศิวะพักตร์ อันมีความหมายว่า พระนางเจ้าผู้มีชาติกำเนิด แลเป็นเกียรติแก่วงศ์ศิวะพักตร์
พระนางหน่อเจ้า ทรงมีพระบรมราชโองการ เลื่อนพระยศให้แก่ พระราชธิดาเนตรวลัย เป็น พระพี่นางเธอ เนตราพักตร์โฉมวลัย
และขุนพิทักษ์พล พระคู่หมั้น ได้ดำรงตำแหน่ง พระสวามีเจ้าพิทักษ์พลราชเสนา แล จอมทัพแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์

อาลัยพระพี่นางเธอ เนตร ฯ วลัย
ขณะที่ พระพี่นางเธอ เนตราพักตร์โฉมวลัย กำลังย่างพระบาท เพื่อนำตราประทับประจำพระองค์ เพื่อถวายแด่องค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ ก็เกิดพระอาการคลื่นเหียนวิงเวียนพระเศียร ทำให้สะดุดพระบาทล้มลงตรงหน้าพระพักตร์พระนางหน่อเจ้า ฯ พลันทำให้ตราประทับประจำพระองค์ หล่นลงสู่ลาดพระบาท
แต่ตราประทับประจำพระองค์ ก็มิได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
หากด้วยกฎมนเทียรบาล การกระทำเยี่ยงนี้มีความหมายถึง การหมิ่นพระเกียรติองค์กษัตราธิราชเจ้า จักต้องได้รับโทษทัณฑ์จนถึงขั้นประหารชีวิต
นี่คือ เหตุการณ์ที่นำไปสู่การล่มสลายแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ เชียวหรือ
ในใจของพระพี่นางเธอ เนตราพัตร์โฉมวลัย หล่นไปสู่ปลายพระบาท ทรงดำริว่า เรามีอาการวิงเวียนศีระษะมาพอประมาณ อีกทั้งโลหิตประจำเดือนก็ขาดหายไปประมาณ 3 เดือนแล้วเห็นจักได้ พระนางจึงถึงบางอ้อ ว่า เราจักต้องโทษก็เพราะตัวเราเอง แต่เรายังอยากจะเห็นลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา เหตุใดเราต้องมีชะตากรรมเช่นนี้
ด้วยในใจ ก็คิดถึงแต่ใบหน้าของชายอันเป็นที่รัก อีกใจก็นึกเกลียดชังว่า เราทำไมต้องเกิดมาเป็นลูกของพระสนมด้วย ทำไมเราถึงด้อยค่าเช่นนี้ ไม่สามารถเทียบชั้นได้กับ พักตร์พิลัย แม้แต่น้อย
ลูกน้อยที่เกิดกับชายอันเป็นที่รักจักนำมาซึ่งความหายนะ ลุแก่โทษถึงขั้นถูกประหารอย่างทรมานด้วยท่อนจันทน์
แต่ในใจของพระนางก็ไม่เคยหวาดหวั่นแม้แต่น้อยนิด กลับคิดว่า หากมีชาติหนึ่งชาติใดที่เราจักต้องได้กลับคืน สู่ตำหนักเวียงอันรื่นรมย์ เราจักขอมีอำนาจเหนือ พักตร์พิลับด้วยประการทั้งปวง
ลาก่อน ชายอันเป็นที่รัก มารดาอันเป็นที่เคารพ และลูกน้อยที่เราไม่มีโอกาสได้ให้กำเนิด ในใจพระนางเต็มไปด้วยใบหน้าของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
พระนางไปแล้วด้วยดี หากแต่ ทิ้งความขุ่นเคืองพระทัยไว้กับพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย พระมารดา เป็นอย่างสุดจะกล่าวได้
อดีตพระสนมเอกกัญญาณีศรีวลัย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำพระทัยที่ทรงสูญเสียพระธิดา ผู้เปรียบดังดวงแก้วมณี อย่างมิมีวันหวนคืน ทำให้ทรงคิดวางอุบายที่จักแก้แค้น พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ ด้วยความแยบยล

ณ ชายป่า ห่างไกลจากเมืองหลวง ศิวะโลกาปุระ
อย่างแรกที่ทรงกระทำคือ เกิดจากกฎมนเทียรบาลแห่งราชวงศ์ศิวะพักตร์ที่ว่า เมื่อองค์กษัตริย์พระองค์ใหม่เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อดีตพระราชาจักต้องเดินทางออกจากเมืองหลวงเพื่อเดินธุดงค์ไปกลางป่า เยี่ยงฤๅษีชีไพร พร้อมเหล่าอดีตพระมเหสีและพระสนม ตราบจนพระชนม์ชีพจะหาไม่
เมื่อถึงชายป่า พระนางทรงวางยาพิษในผลไม้เสวยของอดีตพระราชาและ ผู้ติดตาม

ณ อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์
เนื่องจากเหล่าปุโรหิต ไม่สามารถหาวันที่มีฤกษ์อันเป็นมงคล เพื่อจักนำเครื่องสูงทั้ง 2 ไปไว้ที่พระแท่นเช่นดังเดิม ทำให้ตราประทับส่วนพระองค์แห่งอดีตองค์กษัตริย์ แล อดีตพระมเหสี จักยังคงสถิตอยู่ ณ หอคอยประจำเมืองดังเดิม
แต่ตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา แล ตราประจำเมือง ศิวะมันตรา ยังคงอยู่ใน อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์
ส่วนพระนางหน่อเจ้าสุชาวดีศรีศิวะพักตร์ จักต้องเสด็จฯ ไปพำนักอยู่ ณ พระตำหนักแห่งกษัตริย์พระองค์ใหม่ พระองค์จึงไม่ทราบถึงความเคลื่อนไหวภาย อดีตพระตำหนักของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ ก่อนอดีตพระราชาแล อดีตพระมเหสี จักต้องเดินทางออกธุดงค์สู่กลางไพรพนาสัณฑ์ อดีตพระสนมกัญญาณีศรีวลัย จึงติดสินบนยามเฝ้าทวาร อดีตห้องบรรทม แห่งองค์พระนางหน่อเจ้าฯ เพื่อลักลอบนำเครื่องสูงทั้ง 2 ออกมาปลอมแปลง และนำไปกลับไปไว้เช่นเดิม

ตามตำนานเมือง กล่าวว่า หากเครื่องสูงล้ำค่าควรเมือง แม้เพียงหนึ่งสิ่งอันใดถูกนำออกจากขอบเขตพัทธสีมาแห่งพระนครหลวง ศิวะโลกาปุระ แล้วไซร้ มหานคราแห่งนี้จักถึงกาลล่มสลาย พระราชาจักต้องคำสาปกลายเป็นหิน และถูกจองจำดวงพระวิญญาณ
ประตูเมืองจักปิดตาย ผู้คนจักหาทางเข้า-ออกมิเจอ เป็นเหตุให้ผู้คนที่ถูกกักขังไว้ในเมืองขาดแคลนอาหารจนตกตายไปตามกัน และดวงวิญญาณของทุกคนจักต้องถูกกักขังจองจำเอาไว้ในเมืองหลวงตราบฟ้าดินสลาย เช่นกับองค์กษัตริย์ของพวกเขา
ตราบเมื่อใดที่เครื่องสูงทั้ง 2 จักต้องกลับคืนนิวัตสู่พระนคร ดวงพระวิญญาณแห่งองค์กษัตราธิราชเจ้า ช้าราชบริพาร แล ผู้คนใต้พระบรมโพธิสมภาร ถึงจักสามารถหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการแห่งอำนาจคำสาป


ณ เมืองประเทศราชแห่งจักรวรรดิศิวะพักตรา
มีเพียงปุโรหิตหนุ่ม ผู้นามว่า เชตวุทธ ผู้มีความชำนาญด้านดาราศาสตร์เป็นอันมาก ผู้ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่เพราะท่านปุโรหิต เพิ่งจักเข้ามารับราชการรับใช้สนองพระบรมราชโองการได้ไม่นาน สัก 2 ปี เห็นจักได้ จึงยังไม่มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดองค์กษัตริย์เท่าใดนัก
ท่านปุโรหิตจึงยังไม่มีโอกาสถวายคำพยากรณ์ที่เขาได้ทำนายจากการสังเกต ปรากฏการณ์บนฝากฟ้าพบว่า ดาวประจำองค์กษัตริย์องค์ปัจจุบันและดาวประจำคู่อริที่เป็นศัตรูผู้มุ่งร้าย นั้นเคลื่อนมาพบกันในรอบ 1,000 ปี จนทำให้บ้านเมืองเกิดเภทภัยนานับประการจนถึงขั้นล่มสลายได้เลย
ท่านปุโรหิต จึงจับยามสามตา ดูเหตุการณ์วุ่นวายต่าง ๆ ภายในเมือง จึงรู้ว่า บัดนี้นั้นสายเกินแก้ มีทางเดียวก็คือ จักต้องติตามหาเครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองกลับมาประดิษฐาน ณ พระแท่นบนหอคอยประจำเมืองดังเดิม
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ จึงต้องออกเดินทางจากเมืองประเทศราช มาจนถึงชายป่าใกล้เมืองหลวง แต่ก็ได้ทราบข่าวว่า สายเกินไปแล้ว เพราะทุกคนภายในเมืองล้วนตกอยู่ในคำสาปอาถรรพ์แห่งมหานคราศิวะพักตรา
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ จึงเปลี่ยนความคิดที่จะต้องหาทางสืบให้ทราบว่า เครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองทั้ง 2 สิ่งนั้นตกไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใดกันแน่ ท่านปุโรหิตจึงลองสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่หนีรอดจากเหตุการณ์ความวุ่นวายกลา งมหานคราอันเรืองรอง
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ สืบสาวหาความจริงจนกระจ่างแจ้งแก่ใจว่า บัดนี้ เครื่องสูงล้ำค่าควรเมืองทั้ง 2 สิ่งนั้น ตกอยู่ในเงื้อมมืออันชั่วร้ายของยายแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภา และบัดนี้ นางกำลังเดินทางกลับสู่ที่ตั้งชนเผ่าดั้งเดิมของนาง
นางเดินทางกำลังจะถึงใกล้หมู่บ้านของนาง ท่านปุดรหิต เชตวุทธ ก็ตามมาเจอนางแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภา ทั้งสองเข้าประทะกันด้วยอำนาจแห่งมนตร์คาถาไสยเวทย์ ฝ่ายใดจักเป็นผู้พ่ายแพ้ แล กำชัยชำนะ
ทั้งท่านปุโรหิต แล คุณท้าวชดช้อยโสภา ต่างมีฝีไม้ลายมือที่ไม่เป็นรองแก่กันแม้เพียงสักกระเบียดหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ท่านปุโรหิต เชตวุทธ สามารถแย่งชิง ตราประทับประจำพระองค์ ศิวะพักตรา กลับคืนมาได้
ท่านปุโรหิต เชตวุทธ ได้รับบาดเจ็บไปพอสมควร แต่ยังพอมีกำลังที่จะสามารถนำพาตนเอง แล ศิวะพักตรา หนีรอดจากเงื้อมมือของนางแม่มดคุณท้าวชดช้อยโสภามาได้อย่างหวุดหวิด และสามารถกลับคืนที่พำนักแห่งตนได้อย่างปลอดภัยด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์สายขาว หรือ สายธรรมะ
ศิวะพักตรา จึงถูกส่งต่อจากรุ่นของท่านปุโรหิต เชตวุทธ สู่รุ่นลูกรุ่นหลาน พร้อมกับคำสั่งเสียของท่าปุโรหิตที่ว่า จะต้องหาเมืองมหานคร ศิวะพักตรา ให้เจอและนำกลับไปประดิษฐานไว้ ณ พระแท่นดังเดิม